“กบฏ-ก่อการร้าย” ชนัก กปปส. ติดคุก ตัดสิทธิการเมือง 5 ปี

ปฏิบัติการ “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นปฏิบัติการต่อเนื่องจากการต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ลุกลามสู่การปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง และเผด็จศึกรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จนกระทั่งเกิดสุญญากาศทางการเมือง และส่งผลให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจ

4 ปีให้หลังที่อัยการคดีพิเศษ 4 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำ กปปส.ทั้ง 9 คน ประกอบด้วย “สุเทพ”-สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์-ชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร ประชาธิปัตย์-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ อดีต ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์-อิสสระ สมชัย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ประชาธิปัตย์-วิทยา แก้วภราดัย อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ประชาธิปัตย์-ถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา ประชาธิปัตย์-นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต ส.ส.กทม. ประชาธิปัตย์-เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กทม. ประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 1-9 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ ก่อการร้าย ยุยงให้หยุดงานฯ กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ อั้งยี่ ซ่องโจร มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯรวม 9 ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209, 210, 215, 216, 362, 364, 365, พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ม.76, 152 ประกอบ ม.83 และ 91

ทั้ง 9 ข้อหา เป็นเอฟเฟ็กต์จากการชุมนุม ที่อาจจะมากระทบกับการลงเล่นการเมืองของแกนนำ กปปส.ในอนาคต

เพราะเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่า แกนนำ กปปส. ยกเว้น “สุเทพ” ที่ขอตัดขาดเบื้องหน้าการเมือง ทุกคนยังเข้า-ออกพรรคประชาธิปัตย์ตามปกติ และเตรียมกลับเข้าไปชิงชัยในการเลือกตั้ง

เพราะโทษข้อหา “กบฏ-ก่อการร้าย” ที่อัยการสั่งฟ้องแกนนำ กปปส.นั้น มีโทษจำคุก-ประหารชีวิต มิใช่ความผิดอาญาที่เป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

แกนนำที่เคยเป็น “อดีตรัฐมนตรี” อย่างสาทิตย์-อิสสระ-วิทยา-ถาวร ได้รับผลกระทบอย่างจัง อาจจะนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีไม่ได้อีก เนื่องจากมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุคุณสมบัติของรัฐมนตรีไว้ว่า “ต้องไม่เป็นผู้ต้องคําพิพากษาให้จําคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท”

เท่ากับว่า หากเพียงศาลชั้นต้นสั่งจำคุกก็ไม่สามารถเป็นรัฐมนตรีได้อีก 

ขณะที่คุณสมบัติการเป็น ส.ส.นั้น ในรัฐธรรมนูญได้ผ่อนปรนให้บุคคลที่มีคดีติดตัว แต่คดียังไม่ถึงที่สุดก็สามารถเป็น ส.ส.ได้ จะพ้นจากตำแหน่งต่อเมื่อศาลสั่งจำคุก และคดีเป็นที่สิ้นสุด ตามมาตรา 101 (13)

“ชาติชาย ณ เชียงใหม่” กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นนี้ เพราะหากรัฐมนตรีอยู่ระหว่างมีคดีจะไม่สง่างาม และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วหากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริงก็ต้องลาออกจากตำแหน่งอยู่ดี ส่วน ส.ส.นั้น ต้องคดีให้ถึงที่สุดก่อน จึงสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้

อย่างไรก็ตาม นอกจากข้อกล่าวหา “กบฏ-ก่อการร้าย” แล้ว แกนนำ กปปส.ทั้ง 9 คน รวม “สุเทพ” ยังถูกอัยการสั่งฟ้องกรณีขัดขวางการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 ม.76, 152 ประกอบ ม.83 และ 91

ซึ่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ปี 2550 มาตรา 76 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการใดโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้ง หรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนนเลือกตั้ง” ประกอบมาตรา 152 ที่บัญญัติโทษไว้ว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 76 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 5 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ “ให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี”

ปมการ “เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็กำหนดไว้ชัดยิ่งกว่าชัดในมาตรา 98 (4) จะไม่สามารถลงรับสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ได้

ย่อมแปลว่า ข้อหา “กบฏ-ก่อการร้าย” และขัดขวางเลือกตั้ง อาจเป็นชนวนให้แกนนำ กปปส.ถูกเคลียร์ไปจากการเมืองในอนาคต

 

ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline
ทวิตเตอร์ @prachachat

สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Prachachat ได้แล้วทั้งระบบ iOS และแอนดรอยด์