ครม.รับทราบ ผลเจรจาหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ยูเออี สร้างมูลค่า 3.1 หมื่นล้าน

รัชดา ธนาดิเรก
รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ครม.รับทราบผลเจรจา รมว.พาณิชย์ไทยกับยูเออี เห็นพ้องทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ให้เสร็จภายใน 6 เดือน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจระหว่างกัน 3.1 หมื่นล้าน

วันที่ 21 มีนาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบผลการเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates : UAE) ของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2566 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ การเดินทางครั้งนี้ ได้หารือกับรัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้านการค้าต่างประเทศในประเด็นต่าง ๆ อาทิ

1.ไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เห็นพ้องที่จะจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement : CEPA) ระหว่างกัน โดยไทยจะผลักดันให้การเจรจาแล้วเสร็จภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ ปัจจุบันสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มีความตกลงลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ได้ข้อสรุปแล้ว 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อิสราเอล อินโดนีเซีย และอยู่ระหว่างเจรจากับหลายประเทศ อาทิ ตุรกี กัมพูชา และเกาหลีใต้

2.ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน อาทิ การจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุน และการดำเนินธุรกิจ โดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนใจที่จะลงทุนในไทยด้านอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล และความมั่นคงทางอาหาร

3.ไทยขอให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์สนับสนุนจังหวัดภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo 2028 หรืองานเอ็กซ์โปวาระพิเศษ ซึ่งเป็นงานมหกรรมระดับโลกภายใต้ลิขสิทธิ์ขององค์การนิทรรศการนานาชาติ เพื่อการส่งเสริมภาพลักษณ์ด้านต่าง ๆ ของประเทศเจ้าภาพ ทั้งนี้ องค์การนิทรรศการนานาชาติจะมีการเลือกประเทศเจ้าภาพจัดงานในเดือนมิถุนายน 2566

3 MOU เอกชนไทย-UAE ซื้อขายสินค้า ตั้งสภาธุรกิจ โลจิสติกส์

นอกจากนี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้เป็นสักขีพยานในการลงนามสัญญาซื้อขายสินค้าและบันทึกความเข้าใจระหว่างภาคเอกชนไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ดังนี้

1.การลงนามสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวน 5 คู่ ใน 4 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อาหาร สุขภัณฑ์และกระเบื้องเซรามิก ชิ้นส่วนยานยนต์ และผลิตภัณฑ์เมลามีน มูลค่ารวม 1,330 ล้านบาท

2.การลงนามจัดตั้งกลไกสภาธุรกิจไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งคาดว่าจะขับเคลื่อนให้เกิดมูลค่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 30,000 ล้านบาท และ

3.การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง DP World บริษัทด้านโลจิสติกส์ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กับภาคเอกชนไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ภายใต้โครงการ World Logistics Passport ซึ่งเอกชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ เช่น ลดต้นทุนโลจิสติกส์ ประหยัดเวลาขนส่งสินค้าจากการลดขั้นตอนพิธีการศุลกากร และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการขนส่งระหว่างประเทศของ DP World ได้

นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า การเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดมูลค่าการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำนวน 31,330 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (CEPA) ระหว่างไทยและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยให้ไทยเข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Comprehensive Economic Partnership Agreement : CEPA) กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 2566 นี้