“สมพร-รวิพรรณ” ชู “ธนาธร” สีจิ้นผิ้ง เมืองไทย ห่วง “กระทบผู้ใหญ่ เราก็ตาย”

สัมภาษณ์พิเศษ อิศรินทร์ หนูเมือง

เป็นครั้งแรก ที่ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” เปิดหน้า-เปิดใจ ให้สัมภาษณ์ เรื่องบทบาททางการเมืองของ ลูกชาย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้รับการยอมรับอย่างท่วมท้นทั้งในโลกโซเชียล และโลกการเมือง

เป็น “นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” นางสิงห์เหล็กแห่ง “กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท”

“นางสมพร” ขนครอบครัว อันประกอบด้วย ลูกชาย 2 คน ทั้ง “สกุลธร-บดินทร์ธร” และลูกสาว 2 คน “ชนาพรรณ-รุจิรพรรณ” และ “รวิพรรณ” ลูกสะใภ้ใหญ่-ภริยา “ธนาธร” พร้อมด้วยหลานอีก 3 คน มาให้กำลังใจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถึงห้องประชุมยิมเนเซียม 5 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ในวาระจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่

“สมพร” เปิดใจวาระส่งลูกชายออกจากบริษัทไทยซัมมิท เข้าสู่สนามแม่เหล็กการเมือง ที่บุตรชายหลงใหลตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“มีทั้งความหวัง ความห่วง” นางสมพรกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง

เมื่อถามถึง “ความห่วง” ผู้เป็นแม่ห่วงอะไรในตัวลูกชายวัย 40 เธอบอกว่า “ฉันก็ห่วงความปลอดภัย ก็กลัวว่าเกิดไปทำอะไรกระทบกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพล เราก็ตาย”

แต่ความห่วงกังวลก็เริ่มหมดไปเมื่อได้รับคำยืนยันจาก “ผู้ใหญ่” หลายวงการ

“ครอบครัวฉันอยู่ในวงการธุรกิจมานาน รู้จักผู้ใหญ่ คนรุ่นฉัน มีทั้งในแวดวงทหาร ตำรวจ อัยการ เขาก็บอกลูกเราอยู่ในสายตาประชาชนแล้ว ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวนี้ใครก็แล้วแต่ จะมาเล่นงานในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้แล้ว”

“ตอนเขาไปปีนเขาขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ ไปทำอะไรฉันก็ห่วงหมด ถึงตอนนี้ก็ยังห่วงอยู่”

เธอดีใจมากที่กระแสชาวโลกโซเชียลให้การต้อนรับ “ธนาธร” อย่างล้นหลามในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีประเด็นที่อ่อนไหว อย่างกรณีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอย่าง ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ผู้เคยร่วมเคลื่อนไหวแก้ไขกฏหมายอาญา มาตรา 112 เรื่องนี้ไม่รอดหู “สมพร”

“กระแสของเขา (ธนาธร) มีแต่ดีขึ้น ความนิยมสูงขึ้น แต่มีช่วงหนึ่งมีการพูดถึงกฏหมายอาญา มาตรา 112 จริงๆ แล้วอาจารย์ปิยบุตร เขาไม่ผิดนะ แต่เขาดูกฏหมายนี้ แต่ฉันก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยดี 2 คนเขาก็คิดเดินใหม่ ไปพูดเรื่องการบริหารประเทศ พูดเรื่องอนาคตจะเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างไร ช่วยสังคมแบบไหน กระแสก็ดีขึ้น”

“เงินเขาก็มีแล้ว เขามาทำเพื่ออุดมการณ์ ก็ขอให้ทุกคนคอยดูเขาไป ฉันมั่นใจว่าลูกฉันเป็นคนดี ความเชื่อมั่นต่อตัวเขาเพิ่มขึ้นทุกวัน สังคมให้เครดิตเขา เพราะเขาทำงานหนักมากตั้งแต่คิดจะทำพรรค ขยันมาก อดหลับ อดนอน”

เช่นเดียวกับ “ช้างเท้าหลัง” อย่าง “รวิพรรณ” ภรรยา คุณแม่ลูก 3 และกำลังอุ้มท้องลูกคนที่ 4 ที่คนในครอบครัวเตรียมตั้งชื่อ “น้องฟิวเจอร์”

เธอบอกว่า “เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะธนาธรเป็นคนทำอะไรเต็มร้อย โดยเฉพาะเรื่องการเมือง”

“รวิพรรณ” บอกว่า สามีรักครอบครัวมาก ที่ผ่านมาเวลาไปไหนจะไปกันทั้งครอบครัว ช่วงที่ “ธนาธร” เดินสายพบประชาชน 7-8 จังหวัด จึงเห็นภาพบรรดาลูกๆ อยู่ในเฟรมเดียวกับเขาเสมอ

ถามเธอว่า ส่วนใหญ่บทบาท “หลังบ้าน” นักการเมือง มักต้อง “ออกาไนซ์” เรื่องอำนาจ และหากมีตำแหน่งก็จะมีคนมา “วิ่งเต้น” เธอจะวางตัวอย่างไร “รวิพรรณ” ตอบว่า “คงไม่เข้าไปยุ่งเรื่องการเมือง แต่จะอำนวยความสะดวกในฐานะแม่บ้าน เช่น ดูแลอาหารการกินให้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย”

เมื่อหมดห่วง คำถามไปต่อที่ “ความหวังสูงสุด” ของสมพร สำหรับอนาคตใหม่ของลูกชาย จะถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่

เธอบอกว่า “ณ วันนี้ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ง่าย นอกจากจะมีพลัง มีบุญ มีบารมี มีความสามารถ ฉันก็อยากจะหวัง แต่ไม่คิดว่าต้องได้ระบุว่าตำแหน่งอะไร ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในใจก็อยากให้เป็น แต่ก็ไม่กล้าหวัง ให้เป็นไปตามสัจธรรม ตามที่พระเจ้ากำหนด ถ้าไม่ได้ก็มาสร้างเครดิตให้เขาไปต่อ แต่ถ้าได้ก็ถือเป็นบุญของเขา เป็นบุญของประเทศ”

“สมพร” บอกว่า “ลูกชายของฉัน ฉันก็หวังว่าเขาจะเป็นเปาปุ้นจิ้นเมืองไทย ไม่มีการโกงกิน หรือเป็นสีจิ้นผิง ในเมืองไทยก็ได้ เขาอุทิศตัวมาช่วยประเทศ ไม่ใช่เข้ามากอบโกย…ฉันเลี้ยงลูกมาก็สอนลูก ให้ลูกซื่อสัตย์ ห้ามขโมยของเพื่อนที่โรงเรียนกลับบ้าน”

เธอกล่าวถึงบทบาทลูกชาย ที่สร้างบริษัทให้มีรายได้ทะลุ 1 แสนล้าน “คลีน” ทั้ง 40 บริษัทในเครือไทยซัมมิท “ไทยซัมมิท เราขาวสะอาดมาก บัญชีทุกฝ่ายคลีนมาก เราเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าวันนี้ไม่ขาวสะอาด คงไม่มาสู้หน้าในสังคมแบบนี้ วันนี้ภูมิใจที่เลี้ยงลูกมาดี ได้สามีขาวสะอาด”

เธอบอกว่า นายพัฒนา-สามีผู้ล่วงลับ ตั้งชื่อลูกชายไว้คู่แผ่นดินไทย ทั้ง 3 ชื่อ คือ คนแรกธนาธร-เป็นผู้รักษาสมบัติไว้ คนที่สอง สกุลธร-เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ คนที่สาม บดินทร์ธร-เป็นผู้รักษาแผ่นดินไว้

ส่วนลูกสาว 2 คน จะมีชื่อลงท้ายด้วย “พรรณ” คือ “ชนาพรรณ” และ “รุจิรพรรณ” บังเอิญได้ลูกสะใภ้ชื่อเข้ากับครอบครัว “รวิพรรณ”

หลังครอบครัวผลัดใบจากธุรกิจไปสู่การเมือง “สมพร” แบ่งโครงสร้างงานใหม่ งานที่เคยอยู่ในมือ “ธนาธร” มอบหมายให้ “สกุลธร” บุตรชายคนรองเข้ามารับไม้ต่อ ทั้งด้านการบริหาร การตลาด และการต่างประเทศ

“ชนาพรรณ” ลูกสาวคนโต ทำหน้าที่แทนแม่-สมพรเกือบทุกตำแหน่ง ทั้งงานบริหารบุคคล จัดซื้อ-จัดจ้าง และทำโปรเจ็กต์ใหม่ๆ ในกิจการต่างประเทศ ที่ไทยซัมมิทกระจายอยู่ ทั้งในจีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, อเมริกา และเวียดนาม

และงานของ “สกุลธร” จะถูกค่อยๆ ผ่องถ่ายไปสู่มือของน้องชายคนเล็กสุด “บดินทร์ธร”

และลูกของ “สมพร” ทั้ง 4 คน ยังคงร่วมบริหารกิจการสนามกอล์ฟ “พัฒนากอล์ฟ แอนด์ สปอร์ท รีสอร์ท” ที่อำเภอศรีราชา ซึ่งเดิม “สมพร” จดทะเบียนในชื่อลูกทั้ง 5 คน

“สมพร” บันทึกการประชุมสภาครอบครัว “จึงรุ่งเรืองกิจ” วันก่อนลูกชายตัดสินใจเข้าสู่วงโคจรการเมือง ไว้ว่า “ฉันได้ข่าวว่าเขาจะตั้งพรรคการเมือง ระหว่างที่ท่องเที่ยวอยู่กับเพื่อนที่ประเทศญี่ปุ่น ทุกคนก็อ่านข่าวในไลน์ แล้วเอามาให้ฉันดู บอกว่าลูกเธอจะลงการเมืองแล้วนะ ฉันก็รู้สึกร้อนใจ เป็นห่วง บินกลับเมืองไทยก่อนทริปท่องเที่ยวจะจบ 1 วัน”

“สมพร” มีคำถามกับลูกชาย 2 ประโยค คือ “หนึ่ง ระหว่างไทยซัมมิท กับประเทศไทย เธอเลือกอะไร เขาตอบอย่างกล้าหาญว่า ประเทศไทย…วันนั้นตีได้ ก็ต้องตี เขาตอบโดยไม่เกรงใจเลยว่าเราจะรู้สึกอย่างไร”

คำถามประโยคที่สอง คือ “ถ้าเธอได้เป็นใหญ่เป็นโต แล้วจะมีแต่คนคอยประเคนทรัพย์สิน ผู้หญิง เธอจะรับมั๊ย คำนี้ทำให้เขารู้สึกโมโห เขาลุกขึ้นยืนแล้วย้อนถามกลับมาว่า ถามอย่างนี้ดูถูกผม แล้วก็เดินออกจากห้องประชุมไป ฉันคิดว่าคำตอบแบบนี้ถือว่าเชื่อถือได้”

“ในเมื่อเราห้ามแล้ว เขาก็ไม่ฟัง ถ้ายิ่งห้าม เขาปีนรั้วออกไปแน่ ดังนั้นก็เปิดประตูให้เขาเดินเลย คืนก่อนที่เขาจะจัดงานกินกาแฟกับธนาธร จะไปจดจองชื่อพรรค (15 มีค.61) เราก็คิดว่าเขาจะทำการมงคล ถ้าไม่ Feel Good เหมือนกับเราไปทำลายเขา ก็ต้องหาวิธีแก้ ซื้อส้มสวยๆ เหมือนวันตรุษจีนมา 5 ลูก แกะให้เขากิน ก็เท่ากับเป็นการให้ศีล ให้พร”

“สมพร” บอกว่า “แม้ลูกจะวัย 40 ปีแล้ว แต่ลูก ก็คือลูก หวังไว้ว่าให้เขาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่เขาทำได้”

เธอย้ำตั้งแต่วันแรก จนถึงวัน “ธนาธร” ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค “บอกเขาว่า หากขาดเหลืออะไรก็ให้บอกหม่าม้า”

 

ภาพจากเฟซบุ๊ก Thanathorn Juangroongruangkit