สนช.ผ่าน กม.อุทยานแห่งชาติ วางโทษหนัก บุกรุก-เก็บของป่า จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสน

สนช.ผ่าน กม.อุทยานแห่งชาติ ยันคนอยู่ร่วมกับป่าร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ วางโทษหนักบุกรุก-เก็บของป่า จำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสน

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. … ในวาระ 2 วาระ 3 ต่อจากเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา โดยนายสนิท อักษรแก้ว ประธาน กมธ. ชี้แจงในมาตรา 63 ถึงความจำเป็นที่ต้องบัญญัติกรอบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปี 2541 และคำสั่ง คสช.ที่ 66/2557 ไว้ในกฎหมาย เพราะเป็นการวางกรอบเวลาของกฎหมายเพื่อไม่ให้ผู้ที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติได้รับความเดือดร้อน และไม่มีความจำเป็นต้องใส่มติ ครม.เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 เนื่องจากมติ ครม.ปี 2541 ถือว่าครอบคลุมแล้ว ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่มีวาระซ่อนเร้น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติมากกว่า 60 ปี ไม่มีความสุขสบาย ไม่ได้รับความสะดวก กฎหมายนี้จะช่วยให้ทุกอย่างถูกต้อง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างความสมดุลระหว่างการอยู่ของชุมชนในอุทยานแห่งชาติและทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่ง

ขณะที่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิก สนช. อภิปรายว่า มติ ครม.ปี 2541 จะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่อยู่ในเขตอนุรักษ์ และหากนำมติ ครม.เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ใส่ไว้ในกฎหมายอาจทำให้เกิดความขัดข้องและกระทบต่อชาวบ้าน แต่สามารถนำไปบัญญัติไว้ในข้อสังเกตเพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่าได้ ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้ รวมทั้งการบัญญัติให้ชุมชนมีส่วนร่วมในกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะผลประโยชน์จะถึงชาวบ้านอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วที่ประชุมได้มีมติเห็นควรให้แก้ไขตามกมธ.เสียงข้างมากในวรรคสามของมาตรา 63 นอกจากนี้ สนช.ได้แสดงความเป็นห่วงว่าร่างกฎหมายนี้จะส่งผลกระทบต่อชาวบ้านที่หาของป่า เก็บเห็ดแล้วถูกจับกุมดำเนินคดีจำนวนมาก รวมทั้งยังมีสัตว์ที่ชาวบ้าน ชนเผ่าหรือชนพื้นเมืองที่เลี้ยงเป็นสัตว์ปล่อย เพราะไม่มีทุ่งหญ้าอยู่บริเวณบ้านจึงปล่อยเข้าป่า แล้วไปตามจับ จะเป็นปัญหาหรือไม่ โดยพล.ร.อ.ธราธร ขจิตสุวรรณ สนช. อภิปรายแสดงความสงสัยในมาตรา 64 ถึงคำว่าประเภทและชนิดของทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ในอุทยานแห่งชาติ ที่ได้ประกาศกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาก่อนวันที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ใช้บังคับ คืออะไรบ้าง อยากให้มีบัญชีแนบท้ายสัตว์และพืชให้ชัดเจน

ด้าน นายชลธร ชำนาญคิด ผอ.ส่วนวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุทยานแห่งชาติ ในฐานะ กมธ.ชี้แจงว่า ร่าง พ.ร.บ.มาตรา 64 นี้ ประเด็นสำคัญคือการแก้ไขปัญหากรณีที่ประชาชนเข้ามาเก็บหาพึ่งพิงทรัพยากรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประมงพื้นบ้าน การเก็บหาของป่าบางอย่าง เช่น หน่อไม้ เห็ด หรือสวนไผ่นั้น จะมีการทำการศึกษาแบ่งโซนสำรวจ โดยใช้เงื่อนไขเวลา 240 วัน ตามวรรคหนึ่งที่กำหนดไว้ เพื่อดูว่าพื้นที่อุทยานแห่งชาติแห่งใดที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีไว้ก่อนแล้ว พื้นที่ตรงไหนบ้างที่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 64 นี้ โดยจะศึกษาความเหมาะสมว่า มีทรัพยากรใดบ้างที่จำเป็นให้ใช้ประโยชน์ และถ้าใช้ไปแล้วก็ต้องส่งเสริมฟื้นฟู และสำหรับในส่วนทรัพยากรที่ทดแทนได้ เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาต่อในการที่จะอนุญาตให้มีการเก็บหาของป่า หรือพึ่งพิง ซึ่งทั้งหมดจะต้องจัดทำแนวเขต โดยเป็นหน้าที่ของนักวิชาการที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในกรอบเวลาดังกล่าว

ภายหลังการชี้แจง สนช.ไม่ติดใจ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ด้วยคะแนน 140 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 7 เห็นสมควรประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. …. เป็นกฎหมาย และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ จากนั้น จะจัดส่งให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

ADVERTISMENT

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ มีการกำหนดบทลงโทษผู้กระทำผิด โดย กมธ.และ สนช.เห็นชอบ ตามมาตรา 42 ที่ระบุว่าผู้ใดเก็บหา นำออกไป ทำด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายหรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่ปิโตเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใดอันส่งผลต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน สวนพฤกษศาตร์ หรือสวนรุกขชาติ อันเป็นการฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนความผิดหากเป็นการกระทำแก่ธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาล และมีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 2,000 บาท ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท ส่วนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหาแก่ไม้ ที่เป็นต้น หรือเป็นท่อนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างรวมกันเกิน 20 ต้นหรือท่อน หรือรวมปริมาณไม้เกิน 4 ลูกบาศก์เมตร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาทถึง 2 ล้านบาท

 

ADVERTISMENT

 

ที่มา : มติชนออนไลน์