10 ขุนพลสายแข็ง ประชาธิปัตย์ คุมโหวตหัวหน้าพรรค ตัดเชือกชิงรัฐบาลใหม่

รายงานพิเศษ

15 พ.ค. 62 ทุกสายตาจับจ้องไปที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เพราะเป็นวัน “กำหนดอนาคต” พรรคเก่าแก่ 73 ปี ว่าจะ “ฟื้นฟู” หรือ “แตกดับ” บนทาง “สองแพร่ง” และจะเป็นการ “ชี้ชะตา” รัฐบาลใหม่ ว่าจะ “ปริ่มน้ำ” หรือ “เหนือน้ำ”

เลือกตั้ง มี.ค. 62 ปชป.ถูกตีฐานที่มั่น “แตกย่อยยับ” วันนี้ไม่หลงเหลือคำพ่วงท้ายว่า “พรรคคนใต้” สนามกรุงเทพมหานคร (กทม.) จากที่เคยเป็น “แชมป์เก่า” วันนี้ “สูญพันธุ์”

ความพ่ายแพ้แบบ “หมดทางสู้” ทำให้ ปชป.ต้องสังเวยหัวหน้าพรรคคนที่ 7 “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศลาออกจากแม่ทัพ นำมาสู่การ “ชิงดำ” หัวหน้าพรรคคนที่ 8

ได้เวลา “จุรินทร์”

4 ว่าที่ “หัวหน้าพรรคสีฟ้า” ที่ประกาศตัดเชือก-ชิงดำ คนที่ 1 “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รักษาการหัวหน้าพรรค เป็น “ตัวเต็ง” เพราะถือเป็น “โคลนนิ่งชวน” คนหนึ่ง ทั้งลีลาการอภิปรายในสภาและจุดยืน-อุดมการณ์ทางการเมือง

“จุรินทร์” มีชื่อ “ติดโผหัวหน้า” ต่อจากนายอภิสิทธิ์ ทุกครั้งที่ ปชป.ต้องการความเปลี่ยนแปลงใหม่ “จุดแข็ง” ของ “จุรินทร์” คือ บุคลิกที่เป็นได้ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน และพร้อมที่จะเป็นได้ทั้งนายกรัฐมนตรี-ผู้นำซักฟอก

ในทางบริหารเคยเป็นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง-หลายสมัย ในทางนิติบัญญัติ เคยเป็นทั้งประธานวิปรัฐบาลสมัยรัฐบาลชวน และประธานวิปฝ่ายค้านสมัยที่ผู้นำฝ่ายค้านชื่ออภิสิทธิ์

แม้การยึดมั่นในจุดยืนหนักแน่นจะเป็นจุดแข็ง แต่ใน “มุมกลับ” ถูกมอง “ไม่ประนีประนอม” จนกลายเป็น “จุดอ่อน” และ voter มองว่า การบริหารเศรษฐกิจ-องค์กรขนาดใหญ่ยัง “มือไม่ถึง-เป็นรอง” กรณ์-อภิรักษ์ “ผู้ท้าชิง”

“ทีมจุรินทร์” มี “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” อดีตเลขาธิการคนที่ 15 เป็นคู่ชิงเลขาฯ และนายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง ในรัฐบาลนายชวนเป็นทีมงาน

“กรณ์” ออกจากปีกอภิสิทธิ์

แคนดิเดตคนที่ 2 “กรณ์ จาติกวณิช” รักษาการรองหัวหน้าพรรค “คู่ตัดเชือก” คนสำคัญ อดีต รมว.คลังสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ฝ่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จนมีชื่อติดทำเนียบ “รัฐมนตรีคลังโลก” มีภาพจำคือ ลมใต้ปีกนายอภิสิทธิ์ ในฐานะประธานนโยบาย-มือเศรษฐกิจ

“จุดแข็ง” คือ การบริหารเศรษฐกิจ-เชี่ยวชาญเรื่องเศรษฐศาสตร์ โลดโผนในวงการเงินมา 15 ปี ในช่วง 5 ปีที่ถูก คสช.แช่แข็ง “กรณ์” หันไปจมปลักโคลนกับชาวนา-เก็บเกี่ยวเศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน แต่ “จุดอ่อน” ถึงแม้กรณ์จะเข้าสู่แวดวงการเมืองมากว่า 15 ปี แต่ความเจนจัด-จัดเจนในทางการเมืองยัง “อ่อนพรรษา” กว่า “จุรินทร์” หลายขุม

15 ปีในโลกธุรกิจ 15 ปีบนเวทีการเมือง ประกาศ “ยกเครื่อง-ปัดฝุ่น” แบรนด์ ปชป. ภายใต้สโลแกน “เพื่อประโยชน์สุดของประชาชน เพื่อความก้าวหน้าของประเทศ และเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน”

“ทีมกรณ์” มี “ชัยวุฒิ บรรณวัฒน์” เป็นคู่หู-คู่ชิงเลขาฯ ส่วนทีมงานแม้จะไม่เปิดขุมกำลัง เพราะส่วนใหญ่ คือ ทีมงานที่ช่วยพรรคมาโดยตลอด และหลายคนทำทีมนโยบายเศรษฐกิจมาด้วยกัน

แต่คำหล่นในโรงแรมหรูของ “กรณ์” คือ การนำคนเก่ง-มีความสามารถมาทำงานร่วมกัน ไม่แบ่งพรรค-แบ่งพวกว่า ใครคือขั้วชวน-อภิสิทธิ์ หรือขั้ว กปปส.

“ทีมงานที่สนิทสนมกับผมมากที่สุดมีบางท่านชัดเจนมาก ว่าอยู่ฝั่งหมอวรงค์กับพี่ถาวร (เสนเนียม) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และจิตภัสร์ กฤดากร ควรจะมีบทบาท ได้รับโอกาสและมีอนาคตที่สำคัญกับพรรค ทุกคนมีส่วนที่จะช่วยกันสร้างพรรค”

“อภิรักษ์” ผู้มาก่อนกาล

แคนดิเดตคนที่ 3 “อภิรักษ์ โกษะโยธิน” อดีตผู้ว่าฯ กทม. 2 สมัย มีชื่อเป็นแคนดิเดตตั้งแต่เริ่มต้น แต่มาตัดสินใจในช่วงโค้งสุดท้าย และกลายเป็น “ม้าตีนปลาย” มีเลขาฯ ขื่อ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” อดีตขุนพลข้างกายสุเทพ

“จุดแข็ง” ของ “อภิรักษ์” คือ ความประนีประนอม – เป็นนักบริหารองค์กร และความ “สด-ใหม่” แต่ “จุดอ่อน” คือ ความเจนจัดทางการเมือง

สำหรับ “ทีมอภิรักษ์” มาจากบุคลากร-คนรุ่นใหม่ระดับหัวกะทิจากหลายสาขาอาชีพ อาทิ กลุ่มยุวประชาธิปัตย์ DIP NewDem เครือข่ายนักศึกษาทั่วประเทศ ทำงานเรื่องนโยบายสาธารณะกับสถาบันออกแบบอนาคตประเทศไทย (FIT : Future Innovative Thailand Institute)

ทีมงาน “เลือดใหม่” ของอภิรักษ์ ประกอบด้วย นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ (เศรษฐกิจ) นายเสนีย์ สุวรรณดี (บริหาร) นายสุทธิกร กิ่งแก้ว (วิชาการ) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก (พัฒนาสตรี) นายวิทเยนทร์ มุตตามระ (อาสาคนไทย) นางลักขณา คุณาวิชยานนท์ (ศิลปวัฒนธรรม)

นางการดี เลียวไพโรจน์ (เศรษฐกิจดิจิทัล) ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ (ภาคประชาสังคม) นางฮูวัยดียะ พิศสุวรรณ อุเซ็ง (พัฒนาสตรี) นายอุกฤษ อุณหเลขกะ (สตาร์ตอัพเพื่อเกษตรกร) และนายภาณุมาศ สุขอัมพร (เครือข่ายผู้พิการสื่อสารสังคม)

“พีระพันธุ์” หัวหน้าคนกลาง

แคนดิเดตคนที่ 4 “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” อดีต รมว.ยุติธรรม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ บุคคลที่ถูกส่งมาเป็น “หัวหน้าคนกลาง” จากขั้วที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ที่ยอมตัดสินใจมาเพราะพรรคพวก-ทนเสียงเชียร์ไม่ไหว ประกาศไม่รับตำแหน่ง อาสาฟื้นฟูพรรค-สร้างความสามัคคี สลายความขัดแย้ง

“พีระพันธุ์” มี “จุติ ไกรฤกษ์” รักษาการเลขาฯ และ “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู เป็นกองหนุนหลัง โดยมี “ถาวร เสนเนียม” เป็นแคนดิเดตเลขาฯ แต่ที่ไม่เปิดตัวเพราะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีมมากกว่า

22 ส.ส.ใต้ Voter ชี้ขาด

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกหัวหน้าพรรคคนที่ 8 หรือ voter จำนวน 307 คน องค์ประชุมประกอบด้วย ส.ส.ปัจจุบัน 52 คน อีก 255 คน อาทิ กก.บห.ชุดรักษาการ อดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี อดีตหัวหน้า อดีตเลขาธิการ กลุ่มผู้บริหารท้องถิ่น โดยให้น้ำหนัก ส.ส.ชุดปัจจุบัน ถึง 70% ส่วนที่เหลือ 30%52 ส.ส.ชุดใหม่ แบ่งออกเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 19 คน ส.ส.เขต 33 คน ได้แก่ ส.ส.ภาคกลาง 8 คน ภาคเหนือ 1 คน ภาคอีสาน 2 คน ภาคใต้ 22 คน ดังนั้น 22 ส.ส.ใต้ 19-22 ส.ส.ปาร์ตี้ลิลส์ จะเป็น “ตัวชี้ขาด” ว่า ใครจะเป็น “หัวหน้าคนใหม่”

แกนนำ ปชป.กล่าวว่า ครั้งนี้ประเมินยากว่าใครจะชนะ เพราะแต่ละคนต่างไม่พูดความจริงว่าจะเลือกใคร แต่สิ่งที่โหวตเตอร์จะมาประกอบการตัดสินใจจะมีอยู่ 4 ประการ หนึ่ง ทิศทางของพรรคว่า จะร่วม-ไม่ร่วมรัฐบาลพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นฝ่ายค้านอิสระ หรือจะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทย สอง ความเกรงใจผู้มีบารมีภายในพรรค และสาม คอนเน็กชั่น-ความเป็นพรรคเป็นพวก

“สองปัญหาสำคัญที่ต้องนำมาวางบนโต๊ะในการตัดสินใจครั้งนี้ คือ เห็นทุนสามานย์และการจาบจ้วงสถาบันสำคัญมากกว่า หรือเห็นการสืบทอดอำนาจของ คสช.สำคัญกว่า”

10 ขุนพลสายแข็ง

ศึกชิงหัวหน้า ปชป.ในครั้งนี้ จะเป็นการ “ประลองกำลัง” ครั้งสำคัญ ระหว่าง 2 สาย สายที่ 1 สายภาคใต้ของชวน-อภิสิทธิ์ โดยมี 10 ขุนพลสายแข็ง 10 อันดับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ชุดปัจจุบัน เป็นฐานคะแนนสำคัญ อาทิ

1.อภิสิทธิ์ 2.ชวน 3.บัญญัติ บรรทัดฐาน 4.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช 5.องอาจ คล้ามไพบูลย์ 6.เกียรติ สิทธีอมร 7.กนก วงษ์ตระหง่าน 8.พนิต วิกิตเศรษฐ์

กับสายที่ 2 สายภาคใต้ของอดีต กปปส.-ถาวร และสาย “เพื่อนหมอวรงค์” สมัยหยั่งเสียงแพ้นายอภิสิทธิ์ อาทิ ชุมพล จุลใส ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รังสิมา รอดรัศมี ชัยชนะ เดชเดโช พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.ชุดปัจจุบัน

และอดีต ส.ส. อาทิ วิทยา แก้วภราดัย เจือ ราชสีห์ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ชัยวุฒิ ผ่องแพ้ว ชุมพล กาญจนะ อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ศุภชัย ศรีหล้า อันวาร์ สาและ ชนินทร์ รุ่งแสง และอนุชา บูรพชัยศรี

ชี้ชะตา รบ.พปชร.

หลังได้หัวหน้าพรรคคนใหม่-กก.บห.พรรคชุดใหม่แล้ว จะมีการประชุมร่วมกันกับ 52 ส.ส.ชุดปัจจุบันของพรรค เพื่อมีมติว่าจะร่วม-ไม่ร่วมรัฐบาลกับ พปชร.

หน้าตาของหัวหน้าพรรค-กก.บห.ชุดใหม่ จะบอกถึงทิศทางของพรรค เพราะหัวหน้าพรรคคนใหม่เป็นคนเลือกเลขาฯ-กก.บห.ชุดใหม่ โดย 52 ส.ส.ชุดใหม่ ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่-มีน้ำหนักในการเลือกหัวหน้าพรรคถึง 70% เป็นคนเลือกเข้ามา

หาก ปชป.มีมติร่วมรัฐบาล พปชร. จะทำให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ยังออก “ลูกกั๊ก” ตัดสินใจง่ายทันที และจะเป็น “โดมิโน” ให้พรรคการเมืองที่ยังแทงกั๊กล้ม-ไหลไปร่วมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่มี พปชร.เป็นแกนทันที

แต่หาก “เกมพลิก” ปชป.มีมติไม่ร่วมรัฐบาล พปชร.-เป็นฝ่ายค้าน (อิสระ) หรือแม้กระทั่งการ “พลิกขั้ว” เป็น “ขั้วที่สาม” จะทำให้ พปชร. ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้-เสียง “ไม่ถึงครึ่ง” หรือไม่ถึง 250 เสียง ถึงแม้ พปชร.-พล.อ.ประยุทธ์ จะมี ส.ว. 250 คน “หักดิบ” โหวต “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าทำเนียบฯ เป็นนายกฯอีกสมัย แต่จะกลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ทันที และจะอยู่ได้ไม่นานแน่นอน !!!

เสี่ยง ปชป.ล่มสลาย

ไซด์เอฟเฟ็กต์ที่จะตามมา หาก ปชป.มีมติร่วมรัฐบาล พปชร.-ยกมือโหวต พล.อ.ประยุทธ์ สืบทอดอำนาจ คสช. อาจทำให้ 3.9 ล้านเสียงที่เลือก ปชป.เพราะจุดยืนของอภิสิทธิ์ “ไม่เอาคนโกง-ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ” จะทำให้ ปชป.ฟื้นจากความตกต่ำได้ยาก

ภายหลังเสียงที่เคยสนับสนุน ปชป. เมื่อการเลือกตั้งปี”54 จำนวน 7-8 ล้านเสียงที่หายไป จากจำนวนทั้งหมด 11 ล้านเสียง ซึ่งแกนนำ ปชป. รวมถึงนักวิเคราะห์การเมือง สรุปตรงกันว่า คะแนนเทไปเลือก พปชร.-พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเห็นว่าจะเป็นคู่ต่อสู้กับนายทักษิณ ได้สมน้ำสมเนื้อกว่า

15 พ.ค. 62 ฟ้าจะเปิด หรืออเวจีจะต้อนรับ ไม่กี่อึดใจเท่านั้น !!!

คลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่… End game “จุรินทร์” นั่งกัปตันประชาธิปัตย์ คนที่ 8 ลั่น นำทีมอเวนเจอร์ส สีฟ้าพ้นยุคมืด