สติธร : โดมิโนล้ม “ประยุทธ์” ยาก ปุจฉายุบอนาคตใหม่ เกมการเมืองเปลี่ยน

สัมภาษณ์พิเศษ

โดย : ณัฐวุฒิ กรัณยโสภณ

สมรภูมิเลือกตั้งซ่อม เขต 5 นครปฐม กลายเป็นศึกชิงดำที่ฝ่ายค้าน-ฝ่ายรัฐบาล ขนทุกสรรพกำลังประลองเชิงกันอย่างเต็มที่ เพราะ 1 เสียงที่ได้มามีค่ามากยิ่งกว่ามากในสภาผู้แทนราษฎร ยามรัฐบาลเรือเหล็กอยู่ในภาวะเสียงปริ่มน้ำ

“เพื่อไทย” หัวขบวนฝ่ายค้าน หลบทางให้พันธมิตร “อนาคตใหม่” ลงป้องกันแชมป์ ถึงขั้นประกาศวาระ “ลงคะแนนไม่ไว้วางใจรัฐบาล” ส่วน “พลังประชารัฐ” (พปชร.)พรรคแกนนำรัฐบาล หลีกทางให้ “ประชาธิปัตย์” รองแชมป์ในการเลือกตั้ง 24 มี.ค. ส่งผู้สมัครแข่งกับอนาคตใหม่ แม้มี “ชาติไทยพัฒนา” ฉีกสัญญาใจพรรคร่วมรัฐบาล ส่ง “เผดิมชัย สะสมทรัพย์” บ้านใหญ่นครปฐม ลงสนามประกบ

เช่นเดียวกับอีก 3 เขตเลือกตั้งที่เหลือ มีจ่อคิวกำหนดวันเลือกตั้งซ่อมในวันข้างหน้า คือ 1.เขต 2 กำแพงเพชร 2.เขต 7 ขอนแก่น และ 3.เลือกตั้งซ่อมกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจกใบเหลือง “กรุงศรีวิไล สุทินเผือก” ส.ส.เขต 5 สมุทรปราการ ทั้ง 4 เขต อาจเป็นเกม “เปลี่ยนดุลอำนาจ” ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้านในสภา

“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “สติธร ธนานิธิโชติ” นักคณิตศาสตร์การเมือง ในฐานะนักวิชาการ ประจำสถาบันพระปกเกล้า วิเคราะห์ผลลัพธ์การเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นทั้ง 4 เขต ผลลัพธ์ตัวเลขในสภาปริ่มน้ำ

สมุทรปราการพลิก

“สติธร” วิเคราะห์ผลเลือกตั้งซ่อม โดยเชื่อว่า สนามเลือกตั้งซ่อมนครปฐม ถ้าวัดกันในนาทีนี้ อนาคตใหม่มีโอกาสชนะ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนขอนแก่นเป็นพื้นที่ของเพื่อไทยอยู่แล้ว ถ้าอนาคตใหม่ถอยไม่ส่งผู้สมัครแข่งกับเพื่อไทยก็จะเป็นประโยชน์ เพราะการเลือกตั้ง 24 มี.ค. อนาคตใหม่ตัดคะแนนเพื่อไทย 12,000 คะแนน ดังนั้น ฝ่ายค้านยังสามารถรักษาฐานที่มั่นเอาไว้ได้ ส่วนที่กำแพงเพชร พปชร.น่าจะป้องกันแชมป์ได้เช่นกัน แต่ให้จับตาการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.สมุทรปราการ เพราะอาจจะกระดานพลิกได้ 2 ปัจจัย

ปัจจัยหนึ่ง เลือกตั้งซ่อมที่เขต 5 สมุทรปราการ อาจเปลี่ยนทั้งกระดาน เพราะการเลือกตั้ง 24 มี.ค. เพื่อไทยกับอนาคตใหม่ เผลอไปตัดคะแนนกันเอง ทำให้ “กรุงศรีวิไล” ได้ส้มหล่น แต่ถ้าเอาคะแนนอนาคตใหม่บวกเพื่อไทยจริง ๆ สามารถชนะ พปชร.ได้ ถ้าแบ่งคะแนนกันดี ๆ

ปัจจัยสอง ตามกติกา เขตเลือกตั้งซ่อมใดที่มีต้นตอจากเหตุที่ส่อว่าทุจริต จะต้องนำคะแนนเลือกตั้งมาคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อกันใหม่ภายใน 1 ปี นับแต่เลือกตั้ง 24 มี.ค. 2562

“เพราะคะแนนเลือกตั้งทั้งหมดต้องคำนวณใหม่ เนื่องจาก กกต.แจกใบเหลือง หากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตัดสิน โดยเห็นพ้องตามที่ กกต.เสนอ ก่อน 24 มี.ค. 2563 ถ้ามีการคำนวณใหม่จะต้องเถียงกันในเรื่องของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ที่ยุบพรรคประชาชนปฏิรูป ของตนเองไปอยู่กับ พปชร. คะแนนดิบของพรรคที่ยุบไปจะถูกลบไปหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าถูกลบโดยไม่ถูกนำไปคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายไพบูลย์ก็จะไปอยู่ในพรรคที่ได้จำนวน ส.ส.พึงมีเพิ่มขึ้นเท่านั้น”

“สิ่งที่มองไม่เห็น คือ พรรคอนาคตใหม่ถ้าโดนยุบพรรค หากมีการตีความว่าคะแนนไพบูลย์ถูกลบออก อนาคตใหม่ก็จะเหลือเฉพาะ ส.ส.เขต ที่กฎหมายยังคุ้มครองให้สังกัดพรรคใหม่ได้ แต่ปาร์ตี้ลิสต์อาจจะหายหมด เพราะการเลื่อนลำดับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อาจต้องย้อนกลับมาเลื่อนลำดับให้พรรคเล็ก ตามการปัดเศษของระบบเลือกตั้งจัดสรรปันส่วนผสม พรรคอนาคตใหม่อาจเหลือเฉพาะ 31 ส.ส.เขต”

เสียงขี่กันแค่ 2 แต้ม

ตามการคาดการณ์ของ “สติธร” ฝ่ายค้านน่าจะบวกขึ้นมา 1 แต้ม ที่สมุทรปราการ ส่วนนครปฐม ขอนแก่นจะรักษาที่มั่นเดิมไว้ได้ กำแพงเพชรน่าจะแพ้ให้กับฝ่ายรัฐบาล

“แต่จำนวนแค่ 1 เสียง ก็มีความหมาย เพราะฝ่ายรัฐบาลมีเสียง 253 เสียง หักเสียงประธานสภา และรองประธานสภา 3 เสียง ฝ่ายรัฐบาลก็จะเหลือ 250 เสียง ขณะที่ฝ่ายค้านได้เพิ่มขึ้นมา 247 เสียง ห่างกันเพียง 3 เสียง”

“และถ้าไม่นับ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กับนายพิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทย ที่ประกาศเป็นฝ่ายค้านอิสระ ก็จะเหลือ 248 เสียง ดังนั้น ถ้านายมงคลกิตติ์กับนายพิเชษฐมาโหวตให้ฝ่ายค้านเมื่อไหร่ ฝ่ายค้านก็ชนะ เว้นแต่ประธานและรองประธานสภาจะลงมาช่วยโหวต ทำให้มงคลกิตติ์ กับนายพิเชษฐ จะมีราคาเพิ่มทางการเมือง”

รัฐบาลเอาตัวรอดได้

เมื่อแต้มระหว่างฝ่ายค้าน-รัฐบาล อาจมีช่องห่างกันแค่ 2 แต้ม รัฐบาลจะไปต่อได้หรือไม่ “สติธร” ตอบทันทีว่า “เหนื่อย… แต่เอาตัวรอดพอได้ แม้ระหว่างทางจะมีแพ้บ้าง เช่น ที่ฝ่ายรัฐบาลเคยแพ้โหวตข้อบังคับการประชุมสภา เพราะทุกเรื่องไม่ได้สำคัญหมดขนาดไปเกณฑ์คนมาเต็มสภา หรือให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) หยุดทำงานแล้วมาโหวตกันหมด มันจะเกิดเฉพาะวาระใหญ่ ๆ พอวาระย่อย ๆ ก็มีโอกาสแพ้ เช่น แพ้ในชั้นการแปรญัตติในการโหวตกฎหมายรายมาตรา จะทำให้เกิดการเสียเปรียบในเกมทางการเมือง ผลักเรื่องที่อยากผลักดันไม่ได้”

“แต่ถ้าถึงช่วงทีเด็ดทีขาด เชื่อว่ารัฐบาลจะเอาอยู่ทั้งหมด เพราะรัฐบาลต้องระดมมาที่สภา เช่น อภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม.หยุดทำงาน แล้วขนกันมาหมด แต่ระหว่างทางไม่ปลอดภัย เพราะไม่มีอะไรจูงใจ ตามสถิติ ฝ่ายรัฐบาลเข้าประชุมสภาน้อยกว่าฝ่ายค้านตลอด”

ขณะที่เสียงของ “งูเห่า-เสียงปริศนา” จากฝ่ายค้าน ที่ฝ่ายรัฐบาลดีลไว้ ยังเป็นบริการเสริมที่คอยช่วยเหลือรัฐบาลได้ยามเวลาคับขัน “เชื่อว่ายังช่วยรัฐบาลได้ ถึงเวลาคับขันต้องเรียกมือพวกนี้ต้องเปิดตัว ถึงเวลาใช้ก็ต้องใช้ เพราะพรรคเพื่อไทยบางส่วนก็มีใจให้ฝ่ายรัฐบาล”

โดมิโนเกิดยาก

อย่างไรก็ตาม “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศว่า การเลือกตั้งซ่อมที่ จ.นครปฐม จะเป็น “โดมิโน” ตัวแรกที่นำไปสู่เปลี่ยนดุลอำนาจการเมืองในอนาคต แต่ “สติธร” เชื่อว่าจะมีความเป็นไปได้ยาก !

“ยาก… จะเป็นโดมิโนได้ต้องชนะต่อเนื่อง แต่ถ้ามีเลือกตั้งซ่อมกำแพงเพชรมาคั่นกลางแล้วแพ้ น่าจะแป้ก โดมิโนต้องต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือสมุทรปราการต้องรอคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง ซึ่งต้องใช้เวลานาน”

ประยุทธ์ 2 เดือน เหมือน 2 ปี

เมื่อให้ “สติธร” วิเคราะห์ว่า รัฐบาลบริหารประเทศมา 2 เดือน แต่ทำไมถูกถล่มเหมือน 2 ปี “เพราะคนมองว่ารัฐบาลบริหารประเทศมา 5 ปีแล้ว เนื่องจากค่อนหนึ่งของ ครม.คือชุดเดิม และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ คือเซตเดิม เป็นชอตต่อเนื่อง ต่อให้บอกว่าตั้งรัฐบาลเพียงไม่กี่เดือน แต่ชาวบ้านคิดว่าไม่ใช่ ความจดจำของผู้คนคือชุดเดิม ของสะสม ช่วงที่ผ่านมา 5 ปี”

“และเมื่อไม่มีมาตรา 44 คนเริ่มรู้สึกคลายความกลัว มีการยกเลิกคำสั่งเดิมไปหลายคำสั่ง ส่วนราชการที่เคยกลัวก็ลดความกลัวลง คนก็เริ่มวิจารณ์ได้มากขึ้น พอฝ่ายค้านเปิด คนตามตบ แล้วไม่เกิดอะไรขึ้น เสรีมากขึ้น กล้ามากขึ้นก็โดนถล่มหนักขึ้น ก็ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่พูดปุ๊บ มีปัญหาปั๊บ คนก็เงียบ”

แฟนพันธุ์แท้ยังหนุน

นั่นทำให้เรตติ้งของ “พล.อ.ประยุทธ์” ลดลง ? “สติธร” แย้งว่า “ตามผลโพลอาจจะใช่ แต่สำหรับกองเชียร์แท้ ๆ ก็ยังเชียร์นายกฯลุงตู่เหมือนเดิม เพียงแต่กลุ่มคนที่ทำให้รู้สึกว่ารัฐบาลเสียงต่ำลง คือ กลุ่มที่สะวิงแรงช่วงเลือกตั้งคือ กลุ่มที่เลือกประชาธิปัตย์เก่า แล้วไปเลือก พปชร. เพราะโดยเนื้อแท้ไม่ได้รักมาก แต่เลือกเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไม่เลือก พล.อ.ประยุทธ์ แล้วพรรคประชาธิปัตย์เอาไม่อยู่ก็แพ้อีก ต้องกัดฟันเทมาหาตอนเลือกตั้ง ไม่ต้องเชียร์ตลอด”

“แต่พอถึงวันที่จะตัดสินใจเลือกตั้ง คนกลุ่มนี้ก็ยังคิดแบบเดิมได้อีก มีโอกาสกลับมาโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ที่ทดไว้ในใจ คือ ไม่ยอมให้อำนาจกลับไปอยู่ฝั่งเพื่อไทย กลัวธนาธร กลัวทักษิณ”

ถอยห่างนักการเมืองห่วย

“สติธร” แนะปัจจัยลบที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ควรคิดให้ละเอียดเพื่อไม่ให้เรตติ้งตก “สิ่งที่ต้องกังวล คือ ผลงาน แน่นอนผลงานถูกจับจ้องอยู่ตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดในสายตาของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องทำผลงานให้ฝั่งที่เชียร์รู้สึกว่าโอเค”

“เพราะกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ เชียร์คนดี ไม่ชอบนักการเมืองห่วย แต่กรณีผู้กองธรรมนัส (พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์) ก็อาจจะทำให้ขัดใจคนที่เชียร์ ต้องรู้ว่าคนที่เชียร์เกลียดอะไร ต้องอยู่ห่าง ๆ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้รู้สึกว่า เชียร์ก็เชียร์ไม่ไหว แล้วต้องไปพึ่งพรรคเล็กกระจองอแง”

รัฐธรรมนูญ มุขแป้กฝ่ายค้าน

สำหรับปมร้อนแก้รัฐธรรมนูญของฝ่ายค้านจะจุดติดหรือไม่ “สติธร” วิเคราะห์ว่า อาจเลี้ยงกระแสได้แต่เฉพาะพวกสาวก พวกสะวิงโหวตอาจไม่เอาด้วย ยกเว้นประเด็นที่หยิบขึ้นมาทำให้เขารู้สึกว่าเป็นปัญหาจริง ไม่ใช่อยากจะแก้ด้วยเหตุผลที่เขียนขึ้นมาโดยเผด็จการ แบบนั้น emotion ไปหน่อย เพราะถ้าประชาชนเอาด้วย กระแสต้องไปไกลกว่านี้แล้ว

“เชื่อว่าคงไปจบที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญในสภา สู้ให้เสร็จก่อน เพราะฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลเสียงพอ ๆ กัน เถียงกันไปเถียงกันมา อาจจะจ้างใครมาศึกษาความเป็นไปได้ ขณะที่ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ที่อยู่ในตำแหน่งอย่างสุขสบาย อาจจะเอาเกมแก้รัฐธรรมนูญมาเป็นเกมยื้อให้อยู่ได้ครบเทอม ให้ กมธ.ทำงานจนถึงปีสุดท้ายแล้ว โอเค… เห็นด้วยกับการให้มีการตั้ง ส.ส.ร.เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพรรคร่วมอยู่อย่างสุขสบาย ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว”

“สถานการณ์แบบนี้พรรคร่วมได้เปรียบ อยู่ในสถานะลอยตัว แต่ พล.อ.ประยุทธ์รับศึก 2 ด้าน ฝ่ายในต้องเฉือนเนื้อตัวเองให้พรรคร่วมรัฐบาล”

ขณะที่ด้านนอกก็คอยรับกระสุนจากฝ่ายค้าน