ประยุทธ์ จับมือ ปตท. ลงนามเอ็มโอยู ฟ็อกซ์คอนน์ บูม ฮับยานยนต์ไฟฟ้า

พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานลงนามความร่วมมือ ปตท. – ฟ็อกซ์คอนน์ มุ่งหน้าสู่การเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของอาเซียน ตั้งเป้าผลิตยานยนต์ไฟฟ้าโต 30% ภายในปี 2573 หรือ 7 แสนคันต่อปี

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กับ Hon Hai Precision Industry Co., Ltd. (Foxconn Technology Group) ในรูปแบบเสมือนจริง (Virtual MOU Signing Ceremony)

มีนายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการ ปตท. พร้อมด้วย ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยาน

จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย และ กรุงไทเป ไต้หวัน เพื่อศึกษาโอกาสการพัฒนาฐานการผลิตยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย

นายอนุชากล่าวว่า ความร่วมมือนี้จะเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า สมัยใหม่ ส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับสากลมากยิ่งขึ้น

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแสดงความยินดีที่ได้ร่วมในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการ ลงทุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยระหว่าง บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) และ ฟอกซ์คอนน์ เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) รัฐบาลไทยให้ความสำคัญในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีนโยบายและกำหนดทิศทางยกระดับให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายด้วยรักษาและต่อยอดความเป็นผู้นําของฐานการผลิตยานยนต์เพื่อการส่งออกในภูมิภาค

นายอนุชากล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ โดยตั้งเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปีค.ศ.2030 (พ.ศ. 2573) เท่ากับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 7 แสนคันต่อปี ยํ้าจุดยืนของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าสําคัญของอาเซียน และส่งผลให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

“นายกรัฐมนตรี ยืนยันส่งเสริมระบบนิเวศอื่น ๆ ที่จะเกื้อหนุนให้การใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในประเทศตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ด้วยความร่วมมือภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการดำเนินงานด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งการเชื่อมโยงผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่อง และผลักดันผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ประเทศไทยในฐานะเป็นฐานการผลิตรถยนต์ชั้นนําในอาเซียนแล้ว ยังอยู่ใน 12 อันดับแรกของฐานการผลิตรถยนต์ระดับโลก”

นายอนุชากล่าวว่า ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้การดำเนินงานของ ปตท. และฟอกซ์คอนน์เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ประสบผลสําเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ พร้อมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญ ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 องค์กรเท่านั้น แต่จะยังช่วยเป็นฟันเฟืองสําคัญ ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปสู่อนาคต ของเศรษฐกิจ นวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นได้ต่อไป

นายทศพร กล่าวถึงความร่วมมือ ปตท. และฟอกซ์คอนน์เทคโนโลยี กรุ๊ป (Foxconn Technology Group) ว่า จะสนับสนุนการผลิตรถรถยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายที่จะจัดตั้งแพลตฟอร์มการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และส่วนประกอบหลักต่าง ๆ แบบ end-to-end

ด้วยเงินร่วมลงทุนขั้นต้นที่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะขยายการลงทุนเป็น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐในอนาคตต่อไป สร้างโอกาสทางธุรกิจและการพัฒนา รวมทั้งทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยที่มีต้นทุนต่ำกว่าและมีความยั่งยืนในอนาคต

Mr. Young Liu, Chairman and CEO of Foxconn กล่าวถึงเป้าหมายของความร่วมมือในครั้งนี้ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าหรือผู้ที่สนใจทั่วโลก ได้เชื่อมต่อสังคมแห่งการเดินทางด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ความเชี่ยวชาญของ Foxconn ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก ทำให้เราผนึกความร่วมมือกับภาครัฐ และ ปตท. ในการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ และความชำนาญเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่พร้อม

สำหรับอนาคต ซึ่งที่ผ่านมา ปตท. ได้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จพลังงานและแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ Foxconn จะสามารถแบ่งปันความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งขึ้น เรามุ่งหวังที่จะเห็นประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต