แสนสิริ สนับสนุน ‘Live Equally…เราเท่ากัน’ แสดงความยินดี สมรสเท่าเทียม

แสนสิริ สนับสนุน ‘Live Equally...เราเท่ากัน’ แสดงความยินดี สมรสเท่าเทียม

แสนสิริร่วมแสดงความยินดีร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านสภาวาระแรก เผยให้ความสำคัญความเท่าเทียมและความเสมอภาคอย่างจริงจัง จัดสวัสดิการพนักงาน ลาผ่าตัดแปลงเพศไม่เกิน 30 วันต่อปี ลาสมรส ไม่เกิน 6 วันต่อปี เป็นต้น

วันที่ 22 ธันวาคม 2566 นายสมัชชา พรหมศิริ Chief of Staff บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริขอร่วมแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของประเทศไทย ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม

สะท้อนให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนที่รอคอยการแก้ไขกฎหมาย และต้องการเห็นความเท่าเทียมและเสมอภาคในสังคมไทย และเมื่อกฎหมายดังกล่าวมีการบังคับใช้ในไทย จะทำให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถแต่งงานกันได้ตามกฎหมาย สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การได้รับสิทธิและเสรีภาพในการแต่งงานเหมือนกับคนรักกันทั่วไปที่พึงได้รับ เช่นเดียวกับต่างประเทศที่ได้ออกกฎหมายสมรสของคนเพศเดียวกันกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

สำหรับแสนสิริ เราเป็นองค์กรที่สนับสนุนและเคารพในความเท่าเทียม และความหลากหลายมาอย่างต่อเนื่อง ใส่ใจ และให้คุณค่ากับทุกความแตกต่างของทุกชีวิต ผ่านนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม เราเป็นบริษัทแรกในไทย และเป็น 1 ใน 200 บริษัทชั้นนำทั่วโลก ที่ลงนามกับ UN Global Standards of Conduct for Business หรือมาตรฐานข้อปฏิบัติทางธุรกิจขององค์การสหประชาชาติ (UN)

เขียนขึ้นโดยสำนักงานของข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (Offices of the United Nations High Commissioner for Human Rights-OHCHR) เพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมในสังคม ลดการแบ่งแยก

โดยมีเป้าหมายเพื่อรณรงค์ 5 ข้อ ได้แก่

1.การเคารพสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTQIA+ ในทุกการดำเนินการและความสัมพันธ์ทางธุรกิจ

2.ขจัดการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบที่มีต่อพนักงานที่เป็น LGBTQIA+ ในสถานที่ทำงาน

3.ให้การสนับสนุนเชิงรุกแก่พนักงานที่เป็น LGBTQIA+ โดยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก สร้างความเชื่อมั่น ซึ่งช่วยให้พนักงานทุกท่านทำงานร่วมกันได้อย่างมีเกียรติ

4.ป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจเกิดจากการกีดกันต่อลูกค้า คู่สัญญา คู่ค้า รวมถึงบุคคลอื่น ๆ

5.ผลักดันประเด็นเรื่องความเท่าเทียมอย่างเป็นสาธารณะ ซึ่งอาจรวมไปถึงการรณรงค์ในที่สาธารณะ สนับสนุนให้เกิดข้อตกลงการปฏิบัติร่วมกัน กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในสังคม หรือการให้ความสนับสนุนทางการเงินหรือปัจจัยต่าง ๆ ต่อองค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQIA+

ตลอดจนสนับสนุนให้พนักงานทุกคนสัมผัสได้ถึงความเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ เช่น การเข้าถึงผู้บริหารระดับสูงได้อย่างเป็นกันเอง เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เติบโต และยังมีโครงการอบรมเพื่อให้พนักงานได้เข้าใจข้อปฏิบัติเพื่อความไม่แบ่งแยก

แสนสิริ สนับสนุน ‘Live Equally...เราเท่ากัน’ แสดงความยินดี สมรสเท่าเทียม

ภายในองค์กรมีการออกแบบที่เป็น Universal Design มีทางลาดสำหรับคนพิการ มีห้องละหมาด ห้องให้นมบุตร มีพนักงานหลากเชื้อชาติ รวมทั้งมีห้องน้ำรองรับผู้มีความหลากหลายทางเพศที่สำนักงานใหญ่
นอกจากนี้ ยังได้มอบสวัสดิการสำหรับพนักงานที่มีความหลากหลายในองค์กร อาทิ การลาผ่าตัดแปลงเพศไม่เกิน 30 วันต่อปี, ลาสมรส ไม่เกิน 6 วันต่อปี สวัสดิการยังครอบคลุมไปถึงคู่ชีวิตของพนักงาน อาทิ วัคซีนทางเลือก ประกันสุขภาพอีกด้วย

การดำเนินงานแสนสิริในด้าน Live Equally…เราเท่ากัน นี้จะมีส่วนช่วยจุดประกายให้ภาคส่วนต่าง ๆ ผลักดันความเท่าเทียมจากในองค์กร เพื่อสังคมไทยที่มีความเท่าเทียมกันในทุกมิติสำหรับลูกค้า ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เราสนับสนุนให้ทุกคนสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยได้ผลักดันเรื่องการกู้ร่วมของกลุ่ม LGBTQIA+

แสนสิริ สนับสนุน ‘Live Equally...เราเท่ากัน’ แสดงความยินดี สมรสเท่าเทียม

ซึ่งปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากธนาคารพันธมิตร 8 แห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารทีเอ็มบีธนชาติ และธนาคารยูโอบี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการสนับสนุนความเท่าเทียม ส่งผลให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อ และในขณะเดียวกันธนาคารพันธมิตรของเราก็ได้ขยายธุรกิจ

“ยังมีผู้คนในสังคมอีกมากที่ต้องอาศัยอยู่ในช่องว่างแห่งความเหลื่อมล้ำ เพราะขาดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง แสนสิริ มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนสร้างสังคมสู่ความเท่าเทียมที่แท้จริง และร่วมจุดประกายให้คนในสังคมยินดีที่จะเสียสละบางอย่าง เพื่อมอบโอกาสให้กับคนที่ยังขาดให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเช่นกัน” นายสมัชชากล่าว

อนึ่ง ข้อมูลของ LGBT Capital ระบุว่า ก่อนโควิด-19 มูลค่าการใช้จ่ายของกลุ่ม LGBT ทั่วโลกอยู่ที่ 3.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี หรือราว 135 ล้านล้านบาท ซึ่งไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวจากกลุ่มนี้อยู่ที่ราว 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.26 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง คาดว่ามีความมั่งคั่งอยู่ที่ 23 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลก ซึ่งนับเป็นตลาดที่ใหญ่และมีกำลังซื้อสูง