วัคซีนปลุกกำลังซื้อ-ฟื้นเชื่อมั่น 9 อสังหาฯลอนช์บ้าน-คอนโด 2 แสนล้าน

ไตรมาส 1/64 อสังหาฯจุดพลุเรียกความเชื่อมั่น สำรวจ 9 บริษัทพร้อมใจลงทุนใหม่ 206,642 ล้าน “อนันดาฯ” นำบ้าน-คอนโดฯ 26 โครงการพร้อมอยู่ทุบโปรโมชั่นผ่อนให้ 36 เดือน “โนเบิลฯ-แสนสิริ-ศุภาลัย-เอสซีฯ-แลนด์ฯ-NC-เรียลแอสเสทฯ” กางแผนธุรกิจโฟกัสเซ็กเมนต์ถนัดเจาะกำลังซื้อเรียลดีมานด์-นักลงทุน

ผู้สื่อข่าวสำรวจแผนลงทุนใหม่ในปี 2564 ของดีเวลอปเปอร์ 9 บริษัท พบว่า ยังคงเดินหน้าการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้านต่าง ๆ ทั้งดีไซน์ กลยุทธ์การตลาด บริการหลังการขาย ส่งผลให้ความเคลื่อนไหวในไตรมาส 1/64 เต็มไปด้วยสีสันและความคึกคักเป็นอย่างมาก

โนเบิลฯเปิดอลังฯ 4.5 หมื่นล้าน

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ปี 2564 ได้จัดแคมเปญหนังโฆษณาชุดพิเศษ เพื่อตอกย้ำแนวคิด “กล้าแตกต่าง Be different, be noble” โดยวางแผนเปิดตัวใหม่ 11 โครงการในปี 2564 มูลค่า 45,100 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาเอง 5 โครงการ ร่วมทุนกับ บมจ.ยู ซิตี้ ในกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ 5 โครงการ และร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ 1 โครงการ

ไทม์ไลน์มีดังนี้ ครึ่งปีแรกเปิดตัวใหม่ 4 โครงการ 1.ห้องชุด Noble Form Thonglor มูลค่าโครงการ 5,400 ล้านบาท 2.NUE Noble Centre Bangna 700 ล้านบาท 3.The EMBASSY At Wrieless 10,700 ล้านบาท 4.NUE Condo At Don Mueang 1,900 ล้านบาท อีก 7 โครงการทั้งคอนโดฯ บ้านแฝด ทาวน์โฮมจะทยอยเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

นายธีรพล วรนิธิพงศ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ไตรมาส 1/64 บริษัทเปิดขาย “โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ” มูลค่า 5,400 ล้านบาท กลยุทธ์ตั้งราคาขายต่ำกว่าราคาตลาด 20% ราคา 2-2.5 แสนบาท/ตารางเมตร เฉลี่ย 2.36 แสนบาท/ตารางเมตร ตั้งเป้าในช่วงพรีเซลตั้งแต่วันนี้-31 พฤษภาคม 2564 ทำยอดขาย 40% จากนั้นภายในสิ้นปีนี้ยอดขายเพิ่มเป็น 60%

“ไฮไลต์นำเสนอ rare item ดีไซน์ห้องชุดใน form ที่แตกต่างจากตลาดเป็นห้อง fullplex เพดานสูง 4.85 เมตร ระหว่างชั้นสูง 2.3 เมตร ซึ่งโนเบิลฯคาดว่าจะมีผลตอบรับที่ดี เราวางแผนเจาะลูกค้าเป้าหมายซื้ออยู่เองกับซื้อลงทุน 50 : 50 โดยเฉพาะการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าหรือซื้อเก็บเป็นทรัพย์สินคาดว่ามีผลตอบแทน 4-5% ต่อปี ในจำนวนนี้มองสัดส่วนลูกค้าต่างชาติซื้อในสัดส่วน 20-30%” นายธีรพลกล่าว

ศุภาลัยเติบโต New High

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผยว่า ปี 2564 ศุภาลัยมุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยครอบคลุมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และตลาดต่างจังหวัด โฟกัสเจาะตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์ มีพฤติกรรมการจองซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด จึงลดความเสี่ยงในการทิ้งดาวน์และเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ

“ปีนี้ศุภาลัยมีความพร้อมทุกด้าน เรามีต้นทุนการเงิน 1.9% นอกจากในประเทศแล้วยังขยายลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้ารายได้จากการขายในต่างประเทศ 5,350 ล้านบาท”

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องใหม่ปีนี้เตรียม launch แอปพลิเคชั่น Supalai Sabai ที่ครอบคลุมทุกการบริการอย่างครบวงจร อาทิ การทำธุรกรรมทางการเงิน และบริการหลังการขาย นอกจากนี้ มีการส่งเสริมด้าน waste management ในกระบวนการก่อสร้าง โดยกำหนดแนวทางการทำงานเพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้าง และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่าสูงสุด

ทั้งนี้ ปี 2563 ศุภาลัยเปิดตัวใหม่ทั้งสิ้น 28 โครงการ มูลค่ารวม 24,540 ล้านบาท ยอดขายรวม 24,376 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 25 โครงการ อยู่ใน กทม.-ปริมณฑล 11 โครงการ ต่างจังหวัด 14 โครงการ กับคอนโดฯ 3 โครงการ

แผนลงทุนปีนี้ ตั้งเป้าเปิดตัวใหม่ 31 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 27 โครงการ คอนโดฯ 4 โครงการ มูลค่ารวม 34,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 27,000 ล้านบาท เป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท งบฯจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท

“คาดว่าปี 2564 นี้ จะเป็นอีกปีที่บริษัทมีการเติบโตทางด้านรายได้ และกำไร แบบ new high จากโครงการคอนโดฯสร้างเสร็จพร้อมโอนที่รอรับรู้รายได้จำนวนมาก และเชื่อว่าโครงการแนวราบจะมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นกัน” นายไตรเตชะกล่าว

FPT ตั้งเป้าอัพรายได้โต 10%

นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” ยังคงเป็นผู้นำอันดับ top 5 ของประเทศสำหรับกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย มีโครงการสะสม 60 โครงการ โดยตั้งเป้าก้าวขึ้นเป็นอันดับ 3 ด้านรายได้ภายใน 3 ปี (2564-2566)

สำหรับแผนลงทุนปีนี้ ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2563 มาจากทาวน์โฮม 42% บ้านแฝดนีโอ โฮม 23% บ้านเดี่ยว 21% และโครงการต่างจังหวัด 14% มีแผนจัดซื้อที่ดิน 20 แปลง 10,720 ล้านบาท

โดยวางแผนเปิดตัวใหม่ 24 โครงการ มูลค่ารวม 29,800 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท, บ้านแฝดแบรนด์นีโอ โฮม 5 โครงการ 7,000 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว 7 โครงการ 11,000 ล้านบาท และต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท

ไฮไลต์แผนธุรกิจปีนี้วางแผนลอนช์คอนเซ็ปต์ซิตี้โฮมทำเลในเมือง เน้นการเข้าถึงสะดวก ให้เป็นอีกทางเลือกของ condo penthouse หรือ luxury condo เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่ทํางานในเมืองมีศักยภาพกำลังซื้อสูง บนทําเลที่ไม่สามารถทําทาวน์โฮมได้ โดยมีฟังก์ชั่นและดีไซน์ สวย คุ้มค่า

รวมทั้งเฟรเซอร์สฯโฮมวางแผนพัฒนาแอปสำหรับพนักงานให้ครอบคลุมทุกเรื่องทุกกระบวนการ ตั้งแต่การซื้อที่ดิน การบริหารงานก่อสร้าง การขายและการตลาด สินเชื่อ การดูแลลูกค้าหลังโอน และแอป Home+ (โฮมพลัส) เพื่อลูกค้าและบุคคลทั่วไป ดูแลตั้งแต่ “ก่อนซื้อ ส่งมอบ หลังเข้าอยู่” พร้อมด้วยสิทธิประโยชน์สุดพิเศษต่าง ๆ อีกด้วย

“ปี 2564 ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำเป็นตัวส่งเสริมความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะที่หนี้สินครัวเรือนยังคงสูง โควิดระลอกใหม่ทําให้เกิดความไม่แน่นอน เกิดการชะลอซื้อ ผู้ประกอบการจึงต้องมีความรอบคอบและแม่นยำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ต้องปรับตัวและตอบรับให้ทันกับทุกสถานการณ์ เป็นยุคของมืออาชีพอย่างแท้จริง”

แสนสิริชู The Year of Hope

นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ เปิดเผยว่า แสนสิริแข็งแกร่งจากยอดโอนปี 2563 ที่ 45,000 ล้านบาท sold out ไปถึง 35 โครงการ มูลค่ารวม 64,600 ล้านบาท มีสภาพคล่องในมือ 15,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้พร้อมเติบโตอย่างแข็งแรง

ปี 2564 ธีมการทำธุรกิจเป็นปีแห่งความหวัง (The Year of Hope) วางกลยุทธ์การก้าวเร็วนำหน้าคู่แข่งอย่างต่อเนื่องด้วย speed to market ไตรมาส 1/64 ตั้งเป้ายอดขาย 5,000 ล้านบาท ล่าสุดมกราคมเดือนเดียวทำได้แล้ว 3,500 ล้านบาทจากเป้ายอดขายรวม 26,000 ล้านบาท นับว่าสร้างผลงานได้ดีภายใต้สถานการณ์โควิดระลอกใหม่

แสนสิริวางแผนพัฒนาโครงการใหม่ 24 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 26,000 ล้านบาท เป้าโอน 27,000 ล้านบาท จุดโฟกัสแผนลงทุนปีนี้รีไซซ์โครงการให้มีขนาดเล็กลงแต่กระจายในหลายทำเล เพื่อบริหาร inventory ที่เหมาะสมและได้ cash กลับมาเร็ว

อนันดาฯผ่อนให้ 36 เดือน

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯปี 2564 ยังเป็นปีที่มีความท้าทายและความไม่แน่นอน ในขณะที่เมกะเทรนด์การพัฒนาเมืองไม่เคยเปลี่ยน ดูได้รัฐบาลลงทุนเมกะโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าซึ่งภายในปี 2572 จะมีสถานีรถไฟฟ้าจำนวน 320 สถานี จากปัจจุบันเปิดบริการแล้ว 9 เส้นทาง 128 สถานี เม็ดเงินลงทุน 3 แสนล้านบาท นำไปสู่ธีมการทำธุรกิจปีนี้ “Urban Life Never Die”

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลประกอบการปี 2563 ตลาดรวมมีตัวเลขยอดเปิดโครงการใหม่ลดลง -63% แต่ดูไส้ในพบว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดลดลงเพียง -10% แสดงให้เห็นว่าดีมานด์ซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ยังมีต่อเนื่อง

โดยอนันดาฯมียอดโอน 18,340 ล้านบาท น่าสนใจที่เป็นยอดโอนของลูกค้าต่างชาติ 21% โดยสัดส่วนไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักเทียบกับปี 2562 ที่ลูกค้าต่างชาติโอน 22% จุดโฟกัสยังรวมถึงฐานลูกค้าอนันดาฯมีศักยภาพทางการเงินสูงมาก โดยซื้อเงินสด 38% ขณะที่ใช้สินเชื่อ 62% พบว่า มีการกู้โดยใช้คอนโดฯเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน 30-40% ที่เหลือขอสินเชื่อโดยใช้บัญชีเงินฝากค้ำประกันเงินกู้จึงเทียบเท่าการซื้อเงินสดซึ่งหมายความว่าลูกค้าอนันดาฯที่โอนในปีที่แล้วซื้อเงินสด 60% ขึ้นไป ในส่วนยอดขายปี 2563 ทำได้ 17,495 ล้านบาท ปิดการขาย 9 โครงการ มูลค่ารวม 31,578 ล้านบาท

แผนลงทุนปี 2564 ตั้งเป้ายอดโอน 16,008 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ 14,311 ล้านบาท บ้านแนวราบ1,697 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 18,570 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ 16,762 ล้านบาท แนวราบ 1,808 ล้านบาท และวางแผนเปิดตัวใหม่ 5 โครงการ 24,422 ล้านบาท บนทำเลสะพานควาย สุรวงศ์ ทองหล่อ สุขุมวิท 38 และลำสาลี

“เป้าโอนปีนี้ 16,008 ล้านเป็นสต๊อกพร้อมอยู่ 100% โจทย์อสังหาฯผู้ชนะปีนี้คนชนะจะต้องมี 2 เรื่อง คือ 1.ต้องมีสต๊อก 2.สต๊อกต้องอยู่ในทำเลถูกต้อง เซ็กเมนต์ถูกต้อง เช็กลิสต์แล้วตรงกับอนันดาฯล้วน ๆ จึงตั้งเป้าปิดการขายอีก 8 โครงการ”

ทั้งนี้ เรื่องใหม่ยังรวมถึงการติดฉลาก “อนันดา ชัวร์-ANANDA Sure” การันตีคุณภาพโปรดักต์และบริการเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าสูงสุด และกลยุทธ์ “อนันดา เคลียร์-ANANDA Clear” เป็นปีแห่งการปรับประสิทธิภาพบริหารต้นทุนพัฒนาโครงการ

ล่าสุด ไตรมาส 1/64 เปิดตัวแคมเปญพิเศษ #อนันดาทุบไม่ยั้ง นำบ้านและคอนโดฯ 26 โครงการพร้อมอยู่ผ่อนให้ 36 เดือน ในราคาดีที่สุด ตั้งแต่วันนี้-31 มีนาคม 2564 และเปิดจองยูนิตพิเศษ โปรฯพิเศษ ผ่านช่องทางออนไลน์ ANANDA i-STORE วันที่ 5 มีนาคมเพียงวันเดียว

แลนด์ฯส่งสัญญาณบุกครึ่งปีหลัง

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการ และนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ปี 2564 วางแผนเปิดตัวใหม่ 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,660 ล้านบาท ลดลง -28% จากปี 2563 ที่มีการเปิดตัวใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 28,620 ล้านบาท

ปี 2563 ซื้อที่ดิน 4,600 ล้านบาท ลงทุนอสังหาฯเพื่อเช่า 2,200 ล้านบาท (เทอร์มินอล 21 วงเงิน 900 ล้านบาท อพาร์ตเมนต์ 1,300 ล้านบาท) มีการออกหุ้นกู้รวม 8,400 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.29% ต่อปี ไฮไลต์ลงทุนโครงการมิกซ์ยูส Grande Centre Point Lumpini บนที่ดิน 6 ไร่ครึ่ง มีโรงแรม 512 ห้อง สำนักงาน 13,000 ตารางเมตร มูลค่าลงทุน 4,830 ล้านบาท กำหนดสร้างเสร็จ ไตรมาส 1/67

ปี 2564 วางงบฯลงทุน 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯซื้อที่ดิน 6,000 ล้านบาท ลงทุนพอร์ตรายได้ค่าเช่า 5,000 ล้านบาท และวางแผนออกหุ้นกู้ 12,000 ล้านบาท

ไฮไลต์การลงทุน ณ ปี 2563 เปิดตัวบ้านเดี่ยว 82% โดยราคา 3-7 ล้านบาทมีสัดส่วน 37% รองลงมา 20-50 ล้านบาท 23%, 10-20 ล้านบาท มีสัดส่วน 18% เทียบกับปี 2564 เพิ่มโปรดักต์เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดรวมกัน 78%

โดยกลุ่มราคา 3-7 ล้านบาท มีบทบาทสูงเพิ่มพอร์ตเป็น 41% รองลงมาราคา 10-20 ล้านบาท 23% และ 20-50 ล้านบาท สัดส่วนเหลือ 16% เพื่อให้สะท้อนกำลังซื้อที่ชะลอตัวจากผลกระทบโควิดระลอกใหม่ โดยราคาเฉลี่ยต่อยูนิตที่ขายในปี 2563 อยู่ที่ 7.5 ล้านบาท เทียบกับปี 2564 อยู่ที่ 7 ล้านบาท

ทั้งนี้ แผนเปิดตัวใหม่ปี 2564 จำนวน 12 โครงการ 20,660 ล้านบาทนั้น วางแผนเปิดตัวในไตรมาส 1/64 เพียง 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,370 ล้านบาท ที่เหลือ 10 โครงการวางแผนทยอยเปิดตัวในไตรมาส 3/64-4/64

SC แชมป์บ้านเดี่ยวเกิน 10 ล้าน

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC ผู้นำการเป็น living solutions provider เปิดเผยว่า ปี 2563 การระบาดของโควิดครั้งแรกทำให้เป็นปีแห่งการท้าทาย บริษัทสามารถทำยอดขายแนวราบเติบโตสวนตลาด 14,757 ล้านบาท เติบโต 37% เทียบกับปี 2562 มียอดขายรวมทำสถิติใหม่ 16,602 ล้านบาท และยังส่งผลให้มีส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยว 26% ของตลาดรวม ทำให้ SC เป็นอันดับ 1 ของเซ็กเมนต์บ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป

แผนลงทุนปี 2564 ตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท เป้ารายได้ 19,000 ล้านบาท จำนวนสะสม 69 โครงการ มูลค่ารวม 57,500 ล้านบาท ในจำนวนนี้มี 11 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท คอนโดฯ 3 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท

บริษัทประกาศแผนลงทุน 2 ปี (2564-2565) นำเสนอธีมการทำธุรกิจ Fully-Loaded ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ คือ 1.ที่ดินพร้อม วางแผนลงทุน 25,000 ล้านบาท เพื่อโอนที่ดิน 30 แปลง 2.สภาพคล่องพร้อม บริษัทมีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิก 10,000 ล้านบาท หนี้สินต่อทุนจาก 1.58 เท่าในปี 2562 ลดเหลือ 1.38 เท่า

และ 3.สินค้าพร้อม เดินหน้าพัฒนาโปรดักต์ภายใต้ปรัชญาแบรนด์ “For Good Morning สร้างทุกเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน” ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ design, technology และ living solutions ตอบโจทย์ลูกค้ายุค new normal

“ด้วยความพร้อมของ SC ในแบบ Fully-Loaded ทำให้มั่นใจว่า SC จะสามารถสร้างเช้าที่ดี และเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจของทุกคน”

NC เพิ่มพอร์ตลงทุนเวลเนส

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิดระลอกใหม่ทำให้ปี 2564 เป็นโอกาสทองของผู้ซื้อบ้านแนวราบ และผู้ซื้อที่มีความพร้อมในด้านกำลังซื้อ โดยมีปัจจัยบวกอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านในระดับต่ำ และมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐที่ลดค่าโอน-จำนองจาก 3% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งมีอายุมาตรการถึง 31 ธันวาคม 2564

โดย NC ประเมินทิศทางตลาดว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังเติบโตต่อเนื่อง จุดโฟกัสอยู่ที่กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท บริษัทมีการปรับตัวเน้นควบคุมการบริหารต้นทุนในองค์กร มีระบบบริการลูกค้าให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยผนวกนวัตกรรม Smart Eco, Smart Care เพื่อเดินหน้าทำตลาดแนวราบปีนี้

แผนลงทุนปี 2564 NC ดำเนินกลยุทธ์การแข่งขัน 3 ด้าน ได้แก่ 1.เปิดตลาดเชิงรุก วางแผนเปิดตัวใหม่ 7 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 3,500 ล้านบาท เป้ารับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท ขยายทำเลครอบคลุม 4 มุมเมืองของกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยมีแบรนด์เรือธงคือ “บ้านฟ้ากรีนเนอรี่-บ้านฟ้ากรีนพาร์ค”

“NC พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเยี่ยมชมบ้าน 360 องศา และ Facebook Live เรียลไทม์ นำเสนอความคุ้มค่าด้วยความใส่ใจ ตามจุดยืนหลัก NC รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ”

2.พัฒนาโปรดักต์ นวัตกรรมบ้านตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าทุกช่วงวัยหรือ a///gen ควบคู่พัฒนาต่อยอดสินค้าด้วยนวัตกรรมผ่าน Smart Eco, Smart Care เพิ่มความแตกต่างฟังก์ชั่นตอบรับไลฟ์สไตล์ครอบครัววิถีใหม่ที่ตื่นตัวและให้ความสำคัญกับเทรนด์การดูแลสุขภาพมากขึ้น

3.ต่อยอดกลยุทธ์ผนึกพันธมิตรธุรกิจ อาทิ ความร่วมมือกับ Home Innovation, พันธมิตรด้านเทคโนโลยีบ้าน, การเงิน, ธุรกิจการบริการ เป็นต้น ล่าสุดมีการขยายต่อยอดไปยัง new business โดยร่วมทุนกับพันธมิตรศูนย์บริการด้านการฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุครบวงจรหรือ wellness & healthcare business เพื่อเป็นฐานรายได้ธุรกิจในอนาคต ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 3 ศูนย์ภายใต้แนวคิด vacation time

เรียลแอสเสทฯส่งพลังบวก

เรียลแอสเสทฯเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ ชูวิสัยทัศน์ “BELIEVING A BETTER YOU IS POSSIBLE” สู่การทรานส์ฟอร์มแบรนด์ Active Wellness ตอบรับเป้ารายได้เติบโต 5 ปี แตะ 4 พันล้านบาท

เรียลแอสเสทฯเดินหน้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี’64 เน้นเจาะกลุ่มเรียลดีมานด์ส่ง 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,660 ล้านบาท พร้อมทรานส์ฟอร์มเข้าสู่ธุรกิจในรูปแบบผสมผสานกับก้าวต่อไปของการเติบโต ชูวิสัยทัศน์ “BELIEVING A BETTER YOU IS POSSIBLE” เราเชื่อว่าทุกคนดีขึ้นได้จริงและจะส่งพลังบวกให้สังคมดีขึ้นได้เช่นกัน ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5 ปี แตะ 4 พันล้านบาท สอดรับพันธกิจที่จะพลิกโฉมประสบการณ์ที่แสนธรรมดาให้เปี่ยมสุขด้วยสุขภาวะที่ดีและชีวิตที่มีพลัง “TO TRANSFORM THE LIFELESSNESS” สู่เป้ายอดขาย 2,350 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% เน้นใส่ใจในความยั่งยืนของชีวิต สู่ 5 แกนสำคัญที่จะถูกนำมาใช้ในโครงการ

นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนตลาดอสังหาฯภายใต้สถานการณ์โควิดระลอกสองบริษัททบทวนแผนงานรายเดือนและรักษากระแสเงินสดสร้างความมั่นคงของการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทมีพอร์ตโครงการสะสม 21 โครงการ มูลค่ารวม 30,500 ล้านบาท เป็นโครงการอยู่ระหว่างการขาย 8 โครงการมูลค่า 3,500-4,000 ล้านบาท และวางแผนเปิดตัวใหม่ซึ่งมีผลทำให้โครงการอยู่ระหว่างขายปีนี้มี 12 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท

“เทรนด์ปีนี้ เรียลแอสเสทฯยังคงมั่นใจในทำเลและสินค้าที่ดีไซน์ตอบโจทย์ฐานลูกค้าเรียลดีมานด์เป็นหลัก เน้นกลยุทธ์การตลาดในด้านราคามากขึ้น ชูราคาเป็นจุดขาย เนื่องจากพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่ต้องการความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้”

แผนพัฒนาปี 2564 เรียลแอสเสทฯตั้งเป้าเปิดตัวใหม่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,660 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 2,510 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท เทกโอเวอร์คอนโดฯ เมกา สเปซ 1&2 จำนวน 2 อาคาร รวม 2,329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2,350 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 2563 ที่มียอดขาย 2,050 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมองไปถึงแผนธุรกิจปี 2567 คาดว่าสามารถสร้างรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท และมี backlog (ยอดขายรอโอน) 5,660 ล้านบาทระหว่างปี 2564-2567