“สภาวิศวกร” จี้รัฐออกกฎหมายคุมแรงกระแทกแผงกั้นรถยนต์ให้ได้มาตรฐานสากล

แฟ้มภาพประกอบข่าว

ศ.ดร.อมร พิมานมาศ เลขาธิการสภาวิศวกร เปิดเผยว่า จากเหตุรถยนต์ประสบอุบัติเหตุตกจากอาคารจอดรถภายในซอยไผ่สิงโต ถนนพระราม 4 จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ผลการลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า โครงสร้างแผนกั้นรถยนต์มีลักษณะเป็นโครงสร้างยื่น (Cantilever wall) ทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความหนา 10 ซม. เสริมด้วยเหล็กตะแกรงชั้นเดียว เป็นเหล็กเส้นกลมขนาด 9 มม. วัดกำลังอัดของคอนกรีตได้ประมาณ 240-280 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร และมีความสูงของแผงประมาณ 1.0 ม.

สาเหตุจากแผงกั้นไม่สามารถต้านแรงกระแทกได้ เกิดจากแรงกระแทกมากเกินไป ซึ่งเกิดจากการเร่งเครื่องยนต์ของผู้ขับขี่ และแผงกั้นไม่ได้มาตรฐานความแข็งแรงต่อแรงกระแทก

ปัจจุบันกฎหมายควบคุมอาคารยังไม่ได้กำหนดค่าแรงกระแทกที่ใช้ในการออกแบบแผงกั้นรถยนต์ จึงทำให้อาคารจอดรถยนต์จำนวนมากในประเทศไทยไม่มีมาตรฐาน

โดยสำหรับอาคารจอดรถในประเทศไทย สามารถจัดกลุ่มแผงกั้นรถยนต์ที่มีความเสี่ยงอันตรายไว้ 4 ประเภทได้แก่ แผงกั้นรถยนต์ที่ทำจากคอนกรีตเสริมเหล็กที่ออกแบบไม่ได้มาตรฐาน เช่น ผนังบางเกินไป หรือเหล็กเสริมน้อยเกินไป แผงกั้นรถยนต์ที่ทำจากผนังอิฐมอญ หรืออิฐบล็อก หรืออิฐมวลเบาที่ไม่ได้เสริมเหล็ก แผงกั้นรถยนต์ที่ทำจากผนังคอนกรีตสำเร็จรูป ที่ใช้จุดยึดเชื่อมต่อเพียงแค่ 2-3 ตำแหน่ง และแผงกั้นรถยนต์ชนิดเส้นหรือตาข่ายโลหะที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตกำหนดหรือไม่ผ่านการทดสอบ

ในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ได้มีการออกมาตรฐานมาตรฐาน AS/NZS2890.1 ซึ่งกำหนดว่าแผงกั้นรถยนต์ต้องมีความสูงไม่น้อยกว่า 1.3 ม. และต้องออกแบบให้ทนต่อแรงกระแทกได้อย่างน้อยเท่ากับ 3 ตันสำหรับแผงกั้นทั่วไป และ 24 ตัน สำหรับแผงกั้นที่ปลายทางวิ่งที่มีระยะทางเกิน 20 ม. และที่มีการเคลื่อนที่ของยานพาหนะภายในอาคาร

ทางสภาฯ จึงเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ 3 มาตรการ คือ

1.กรมโยธาธิการและผังเมือง ออกกฎกระทรวงหรือกฎหมายอื่นภายใต้ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ระบุให้อาคารต้องออกแบบแผงกั้นรถยนต์รับแรงกระแทกจากรถยนต์ (โดยระบุค่าแรงกระแทกที่ใช้ออกแบบ)

2.สภาวิชาชีพ สมาคมวิชาชีพ หน่วยงานรัฐ เร่งออกมาตรฐานการออกแบบและก่อสร้างแผงกั้นรถยนต์ตกตามมาตรฐานในต่างประเทศ

3.หน่วยงานท้องถิ่น เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) สุ่มตรวจความแข็งแรงของแผงกั้นรถยนต์ในอาคารต่างๆที่อยู่ภายในท้องที่ตัวเอง