เกมบุกบิ๊กแบรนด์ 9 บริษัท ครึ่งปีหลัง 2564 ลงทุนบึ้ม 1.35 แสนล้าน

อั้นไม่อยู่ อั้นไม่ไหว ครึ่งปีหลัง 2564 จำเป็นต้องเปิดเกมบุกตะลุยลงทุนขนานใหญ่

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” สำรวจผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 ของบิ๊กแบรนด์อสังหาริมทรัพย์จำนวน 9 ราย (ดูตารางประกอบ) สิ่งที่พบถือว่ามีเซอร์ไพรส์เพราะกลายเป็นว่าในช่วงครึ่งปีหลังถึงแม้จะมีสถานการณ์โควิดในขั้นวิกฤตระลอก 3-ระลอก 4 แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ส่งสัญญาณลงทุนเปิดขายโครงการใหม่อย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ทั้งนี้ ผลประกอบการครึ่งปีแรก 9 บริษัทอสังหาฯเดินหน้าเก็บเกี่ยวความสำเร็จทั้ง “แสนสิริ-เอพี-ออริจิ้นฯ-เอสซีฯ-ศุภาลัย” เกาะกลุ่มทำสถิตินิวไฮยอดขาย-ยอดโอน ค่าย “FPT-เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้” ปักหลักกลยุทธ์ one platform มียอดขาย 8 พันกว่าล้าน

ดาวรุ่งค่าย “แอสเซทไวส์” บุกหนักครึ่งปีหลังเฉียดหมื่นล้านขึ้นมายืนแถวหน้าอย่างโดดเด่น ขณะที่ LPN ไม่ฝืนโควิดปรับลดเป้าเปิดตัวใหม่จาก 9 โครงการ เหลือ 6 โครงการ มูลค่าใกล้เคียงเดิมเหลือ 9.6 พันล้าน

ASW มั่นใจยุคโควิดเอาอยู่

“กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2564 บริษัทมียอดขายสะสม 2,540 ล้านบาท สัดส่วน 40% มาจากยอดขายคอนโดมิเนียมแบรนด์เคฟ (KAVE) ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ จึงมั่นใจว่ารายได้ปี 2564 จะสามารถสร้างอัตราเติบโต 20% จำนวน 5,000 ล้านบาท ตามเป้าที่ตั้งไว้

สำหรับแผนลงทุนครึ่งปีหลังยังคงเดินหน้าเปิดตัวใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 9,700 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.แอทโมซ บางนา มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท 2.เคฟ เอวา มูลค่า 2,400 ล้านบาท 3.โมดิซ ไรห์ม คลาวด์ มูลค่า 3,700 ล้านบาท 4.โมดิซ ศรีราชา มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท และ 5.โฮมออฟฟิศแบรนด์บ้านภูริปุรี ลาดพร้าว 41 มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท

และมี 2 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ ได้แก่ เคฟ ทียู มูลค่า 1,800 ล้านบาท ตามแผนก่อสร้างแล้วเสร็จไตรมาส 3/64 ปัจจุบันมียอดขายเกิน 90% กับโมดิซ สุขุมวิท 50 มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท คาดว่าสร้างเสร็จในไตรมาส 4/64

“บริษัทมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น การแลกสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโทเคอเรนซีเป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดฯในเครือแอสเซทไวส์ เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดธุรกิจและปรับตัวสู่นวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่” นายกรมเชษฐ์กล่าว

FPT กำรายได้ 8 พันล้าน

“ธนพล ศิริธนชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country CEO) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จจากกลยุทธ์ one platform ที่ผนึกกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่น ทนทาน และสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่มีความท้าทายภายใต้สถานการณ์โควิด

โดย FPT มีรายได้รวมในรอบ 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2564) จำนวน 3,845 ล้านบาท กำไรสุทธิ 459 ล้านบาท ขณะที่รอบ 6 เดือน (มกราคม-มิถุนายน 2564) มีรายได้รวม 8,127 ล้านบาท กำไรสุทธิ 969 ล้านบาท

รายละเอียด 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม” ยังคงเติบโตตามเป้าหมาย มียอดพรีเซล 16,270 ล้านบาท มียอดขาย 6,110 ล้านบาท จาก 11 โครงการ สำหรับครึ่งปีหลังมีแผนเปิดตัวใหม่ 6 โครงการ ในทำเลสาทร จรัญสนิทวงศ์ วิภาวดีรังสิต และพระราม 2 ออกแบบเป็นบ้านฟังก์ชั่นครบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคชีวิตวิถีถัดไป (next normal)

“เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล” และกลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” สร้างรายได้สม่ำเสมอให้แก่บริษัท จำนวน 1,088 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตรารายได้คงที่ โดยไตรมาส 2/64 ธุรกิจอาคารสำนักงานได้รับผลกระทบจากการทำ work from home ไม่มากนัก เนื่องจากผู้เช่าหลักในอาคารสำนักงานเกรด A ทั้ง 5 แห่ง เป็นบริษัทชั้นนำระดับสากล มีสถานะทางการเงินที่มั่นคง

ส่วนอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยังคงเติบโต โดยได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และดีมานด์เช่าระยะสั้นสำหรับโรงงานและคลังสินค้า ทำให้ปัจจุบันมีอัตราผู้เช่าสูงเกินเป้าหมายอยู่ที่ 82% โดยล่าสุดบริษัทปิดดีลสัญญาเช่ากับลูกค้ารายใหม่ อาทิ บริษัท Flash Fulfillment ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรเพื่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

รวมทั้งลงทุนโลจิสติกส์ปาร์กใหม่อีก 2 แห่ง ทำเลบางพลี และอีกพื้นที่ร่วมกับกลุ่มมิตซุย ฟุโดซัง เดินหน้าลงทุนในพื้นที่ EEC พัฒนาโครงการ Smart & Sustainable Logistics Park แห่งแรกในประเทศไทย

เอพียอดโอนสูงกว่ายอดขาย

“วิทการ จันทวิมล” รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งปีแรกบริษัทเติบโตท่ามกลางสถานการณ์โควิด สามารถทำนิวไฮได้สูงสุดทั้งยอดขายและยอดโอน โดยมียอดขาย 17,817 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เทียบกับครึ่งปีหลัง 2563 มียอดโอน 20,506 ล้านบาท โดยมาตรการปิดแคมป์ 30 วันของรัฐบาลไม่มีผลกระทบต่อเป้ารายได้ทั้งปี

ไฮไลต์อยู่ที่สินค้าซูเปอร์สตาร์อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่เติบโตก้าวกระโดด 28% โดยไตรมาส 2/64 สินค้าแนวราบมียอดขายสูงกว่า 9,100 ล้านบาท ทั้งหมดถือเป็นการเติบโตแบบ organic growth

แผนลงทุนครึ่งปีหลัง 2564 เอพีวางแผนเปิดตัวใหม่ 26 โครงการ มูลค่ารวม 33,440 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 22 โครงการ มูลค่า 20,440 ล้านบาท คอนโดฯ 4 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท และแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดฯใหม่ แบรนด์ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ กับ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท

ข้อมูล ณ 30 มิถุนายน 2564 มียอดขายรอโอน (backlog) 40,552 ล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาว 3 ปี

“ความท้าทายของภาพรวมธุรกิจอสังหาฯมี 3 ข้อที่ต้องจับตามอง 1.การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศ ซึ่งวัคซีนถือเป็นตัวแปรสำคัญ 2.มาตรการกระตุ้นภาครัฐ 3.แผนการเปิดประเทศ

ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้ต้องใช้เวลานานพอสมควร ถามว่าจุดต่ำสุดที่เราเจอกันในวันนี้จะจบสิ้นลงเมื่อไหร่ ไม่มีใครตอบได้ ภาคธุรกิจและเราทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเผชิญกับระลอกคลื่นที่ไม่อาจคาดเดาได้”

โดยเอพียังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย

แสนสิริครึ่งปีแรกเกินเป้า

“อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกสร้างยอดขายรวม 17,600 ล้านบาท คิดเป็น 57% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 31,000 ล้านบาท มาจากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท คอนโดฯ 5,600 ล้านบาท โดยไตรมาส 2/64 มียอดขายสูงถึง 10,000 ล้านบาท โต 32% เทียบกับไตรมาส 1/64 ที่มียอดขาย 7,600 ล้านบาท

ในด้านยอดโอนมีจำนวน 16,400 ล้านบาท คิดเป็น 53% จากเป้ายอดโอนทั้งปี 31,000 ล้านบาท โดยเป็นยอดโอนในไตรมาส 2/64 จำนวน 8,800 ล้านบาท โต 14% จากไตรมาส 1/64 ที่มียอดโอน 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดโอนโครงการแนวราบกับคอนโดฯสัดส่วน 55/45

“มาตรการปิดแคมป์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการโอนและรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 เนื่องจากที่อยู่อาศัยที่ต้องส่งมอบได้สร้างเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งแสนสิริทำแผน catch up งานก่อสร้างหลังกลับมาเริ่มก่อสร้างไว้เรียบร้อยแล้ว โดยในครึ่งปีหลังแสนสิริเตรียมโอนคอนโดฯ เอดจ์ เซ็นทรัล-พัทยา และดีคอนโด ไฮด์อเวย์-รังสิต ในช่วงกลางเดือนและปลายเดือนสิงหาคมนี้”

แสนสิริเดินหน้าแผนลงทุนเปิดตัวใหม่ 20 โครงการ มูลค่ารวม 19,400 ล้านบาท ในครึ่งปีหลัง แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวและมิกซ์โปรดักต์แบรนด์อณาสิริ 8 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท, ทาวน์โฮมแบรนด์สิริเพลส และแบรนด์ใหม่ล่าสุด 5 โครงการ 6,300 ล้านบาท และคอนโดฯ 7 โครงการ มูลค่ารวม 5,600 ล้านบาท

ล่าสุดแสนสิริได้เริ่มรุกตลาดเชียงใหม่ ด้วยการเปิดตัวอสังหาฯแนวใหม่แบรนด์ “1517 NIMMAN” พัฒนาภายใต้แนวคิด Co-Business I Living Space พื้นที่ที่รวมธุรกิจและการอยู่อาศัยเป็นหนึ่งเดียว ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท บนพื้นที่ 2 ไร่ จำนวน 23 ยูนิต บนสุดยอดทำเลไข่แดงใจกลางย่านนิมมานเหมินท์

ออริจิ้นฯ All Time High

“พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ครึ่งปีแรกมียอดขายสะสมแล้ว 15,700 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึง 37% และคิดเป็น 54% ของเป้าปีนี้ทั้งปีที่ตั้งไว้ 29,000 ล้านบาท

โดยไตรมาส 2/64 มียอดขาย 8,000 ล้านบาท เติบโต 22% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มาจากบ้านจัดสรร 25% คอนโดฯ 75% โดยเป็นยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (ready to move) 71% และยอดขายจากโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (ongoing) 29%

สำหรับไฟติ้งแบรนด์โครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนแบรนด์แรกของบริษัท “แฮมป์ตัน” และแบรนด์บ้านจัดสรรมิกซ์โปรดักต์ “แกรนด์ บริทาเนีย” โดยล่าสุดแบรนด์แฮมป์ตัน ศรีราชา โครงการร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี ทำยอดขายแล้ว 90% ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาด investment property

“แนวโน้มครึ่งปีหลังต้องจับตาดูภาพรวมประเทศอย่างใกล้ชิด จุดโฟกัสอยู่ที่ความเร็วของการกระจายการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (herd immunity) หากภาครัฐทำได้ดีจะช่วยให้เศรษฐกิจและภาคอสังหาฯฟื้นตัวได้”

บริษัทวางแผนลงทุนในไตรมาส 3/64 เปิดตัวใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,580 ล้านบาท ได้แก่ บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ และบริทาเนีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ ต่อยอดความสำเร็จของบ้านจัดสรรฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ, โครงการแฮมป์ตัน ระยอง ต่อยอดความสำเร็จตลาด investment property

รวมถึงแบรนด์ใหม่ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามคำแหง ทริปเปิ้ล สเตชั่น” คอนโดฯเจาะกลุ่มลูกค้าสตาร์ตอัพ และแบรนด์ “บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107” เจาะกลุ่มความต้องการเฉพาะ (affordable niche) พัฒนาเป็นคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้โครงการแรกของออริจิ้นฯ บริษัทมั่นใจว่าสามารถสร้างสถิติยอดขาย all time high ได้ตามเป้า

LPN รีวิวลงทุนโครงการใหม่

“โอภาส ศรีพยัคฆ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า แนวโน้มครึ่งปีหลัง 2564 สถานการณ์โควิดระลอก 3 ในไตรมาส 2/64-3/64 ที่มีการระบาดรุนแรง ประกอบกับมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง 30 วัน มองว่ายังไม่มีปัจจัยบวกมากนัก จึงปรับแผนลงทุนปีนี้ จากเดิมตั้งเป้าเปิดตัวใหม่ 8-9 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ปรับเหลือเปิดตัวใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท

โดยเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา เปิดตัวแล้ว 1 โครงการ “บ้าน 365 แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง” มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท และเตรียมเปิดอีก 5 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท เป็นบ้านแนวราบ 3 โครงการ มูลค่า 1,400 ล้านบาท กับอาคารชุด 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท ตั้งเป้ารับรู้รายได้ 7,000 ล้านบาท ตามแผนเดิมที่วางไว้

“การลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่จาก 8-9 โครงการ เป็น 6 โครงการ ไม่ส่งผลกระทบต่อเป้ายอดขายรวม 10,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขายครึ่งแรกทำได้ 4,170 ล้านบาท สัดส่วน 41.70% ของเป้าทั้งปี มีสินค้าคงเหลือพร้อมขาย 9,500 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (backlog) 2,700 ล้านบาท”

“LPN ตั้งเป้ามีรายได้รวมแตะ 20,000 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งในปี 2564 เป็นปีแรกที่มีการปรับโครงสร้างและกลยุทธ์องค์กร ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ”

SC กำเงินซื้อที่ดินหมื่นล้าน

“ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายเติบโตนิวไฮทั้งยอดขายแนวราบและยอดขายรวม โดยมียอดขายรวม 11,338 ล้านบาท เติบโต 38% มาจากแนวราบ 9,390 ล้านบาท เติบโต 22% แนวสูง 1,948 ล้านบาท เติบโต 304% เมื่อเทียบกับปี 2563

ทั้งนี้ การเติบโตแข็งแกร่งของยอดขายแนวราบมาจาก 3 พอร์ตหลัก คือ บ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 41%, บ้านราคา 10-20 ล้านบาท เติบโต 35%, บ้านราคา 5-10 ล้านบาท เติบโต 22%

แผนลงทุนครึ่งปีหลัง 2564 วางแผนเปิดตัว 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ทยอยเปิดขายปลายไตรมาส 3/64 และ 4/64 แบ่งเป็นแนวราบ 7 โครงการ ราคา 3.89-20 ล้านบาท แนวสูง 1 โครงการ “The Crest Park Residences” คอนโดฯลักเซอรี่ มูลค่าโครงการ 3,400 ล้านบาท ราคาเริ่ม 5.9 ล้านบาท

“ปี 2564 เป็นปีที่ท้าทาย แต่เรามั่นใจสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์ บริษัทมีสภาพคล่องพร้อม สินค้าพร้อม ที่ดินพร้อม ปีนี้เราจะโอนที่ดินใหม่ 10,000 ล้านบาท รองรับการเติบโต 3 ปีนับจากนี้”

ศุภาลัยคึกเปิดเพิ่ม 2.4 หมื่นล้าน

“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งปีแรกเปิดขายแล้ว 9 โครงการ รวมมูลค่า 9,180 ล้านบาท มียอดขาย 13,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มาจากโครงการแนวราบ 10,080 ล้านบาท สัดส่วน 78% คอนโดมิเนียม 2,925 ล้านบาท สัดส่วน 22% และยอดขายคิดเป็น 48% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท

มียอดรับรู้รายได้ 11,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60% มีกำไรสุทธิ 2,472 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 มีอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 58% ส่วนต้นทุนการเงินเฉลี่ย 1.80% ต่อปี

บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (backlog) 36,002 ล้านบาท แบ่งมาโอนในปี 2564 จำนวน 14,202 ล้านบาท ที่เหลือ 21,800 ล้านบาททยอยโอนใน 3 ปี (2565-2567) เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต ครึ่งปีหลังวางแผนเปิดตัวใหม่ต่อเนื่องโครงการ มูลค่า 24,820 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 18 โครงการ คอนโดฯ 4 โครงการ

โดยศุภาลัยมั่นใจว่าปี 2564 จะเป็นปีที่มีการเติบโตทางด้านรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยความพร้อมของต้นทุนทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง การตลาดและการขาย การบริการลูกค้า และการมีส่วนร่วมช่วยเหลือเพื่อสังคม