คอลัมน์ สุขภาพดีกับรามาฯ โดย อ.นพ.เตชิต จิระวิชิตชัย
หมายเหตุ : อ.นพ.เตชิต จิระวิชิตชัย ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยนั้นมีผลทำให้มีผู้ป่วยจำนวนมากได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อ Novel Coronavirus 2019 (SARS-CoV-2)
การจัดระดับความรุนแรงของผู้ป่วยโควิด-19 โดยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แบ่งผู้ป่วยเป็น 4 กลุ่ม 5 ความรุนแรง ได้แก่ 1.ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ แต่ไม่มีอาการ 2.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง และไม่มีความเสี่ยงสำคัญ 3.ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีความเสี่ยงสำคัญ 4.ผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบ ซึ่งแบ่งเป็นแบบไม่รุนแรง และแบบรุนแรง
การออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายเหมาะสมกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง ยกเว้นผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบแบบรุนแรง หากไม่สามารถขจัดเสมหะเองได้ อาจต้องการการทำกายภาพ
บำบัดทรวงอกข้างเตียง โดยพิจารณาจากประโยชน์และความเสี่ยงอีกครั้ง
ในกรณีมีความเสี่ยงสำคัญ เช่น อายุมากกว่า 60 ปี มีโรคปอด ไต หรือหัวใจเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคตับแข็ง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ จะต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากการออกกำลังกายตามโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เดิมด้วยการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดด้วยตนเอง
เนื่องจากการเป็นโควิด-19 มักส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก อาจทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาหายใจลำบาก รวมถึงมีเสมหะมากขึ้น ผู้ป่วยจึงควรทำการฟื้นฟูสมรรถภาพปอด เพื่อลดอาการเหนื่อยและหายใจลำบาก เพื่อเพิ่มความสามารถในการหายใจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยในการขับเสมหะ (ถ้ามี) และเพื่อป้องกันการเกิดภาวะปอดแฟบ
การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดสามารถทำได้ตามขั้นตอน ดังนี้
1.การจัดท่า (positioning) ผู้ป่วยอาจจัดท่าในท่านั่งหรือท่านอนศีรษะสูงโดยใช้เตียงปรับระดับที่ควบคุมผ่านทางพยาบาล หรือนักกายภาพบำบัดให้ศีรษะสูงขึ้น 30-60 องศา
2.การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ (deep-slow breathing) เพื่อให้ทรวงอกขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยท่านั่งหรือนอนศีรษะสูง 45-60 องศา โดยมีอัตราการหายใจ 12-15 ครั้งต่อนาที ทำ 10 ครั้งต่อรอบ ทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ โดยพักประมาณ 30-60 วินาทีระหว่างรอบ
– ท่าแรก หายใจเข้าทางจมูก พร้อมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นด้านหน้า และหายใจออกทางปากยาว ๆ พร้อมผ่อนแขนลง
– ท่าสอง หายใจเข้าทางจมูก พร้อมกางแขนออกด้านข้างทั้งสองข้าง และหายใจออกทางปากยาว ๆ พร้อมหุบแขนลง
3.active cycle of breathing technique เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการหายใจและระบายเสมหะออกมาง่ายขึ้น ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคั่งค้างของเสมหะเป็นเวลานาน ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
3.1 การควบคุมการหายใจ (breathing control) โดยใช้ท่านั่งหรือนอนศีรษะสูง 45-60 องศา วางมือไว้บริเวณหน้าอกและช่วงท้องส่วนบนบริเวณใต้ลิ้นปี่
– หายใจเข้า ท้องป่องดันมือที่วางไว้ใต้ลิ้นปี่ขึ้น โดยมือที่วางบนอกยังคงนิ่ง
– หายใจออกช้า ๆ ทางปาก ท้องแฟบ (ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง)
3.2 การหายใจให้ทรวงอกขยาย (thoracic expansion breathing) โดยใช้ท่านั่งหรือนอนศีรษะสูง 45-60 องศา วางมือทั้งสองข้างบริเวณตำแหน่งชายโครงด้านข้างเพื่อรับรู้ว่าทรวงอกขยายออกและยุบตัว
– หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ให้ซี่โครงบานออก
– หายใจออกช้า ๆ ทางปาก ให้ซี่โครงหุบลง (ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง)
3.3 การหายใจออกอย่างแรง (huffing) โดยอยู่ในท่านั่งโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย หายใจเข้าลึกมากที่สุด กลั้นหายใจค้างไว้ประมาณ 1-3 วินาทีเปิดช่องปากและคอโดยห่อปาก แล้วหายใจออกอย่างแรงเสียงดัง “ฮัฟ” 1-3 ครั้งติดกันโดยไม่หายใจเข้า ร่วมกับการเกร็งหน้าท้องเพื่อช่วยขับเสมหะ
ขั้นตอนการทำ active cycle of breathing technique นี้ เริ่มต้นจาก 1.ควบคุมการหายใจเข้า-ออกปกติ 5-10 ครั้ง 2.หายใจให้ทรวงอกขยาย 3-4 ครั้ง 3.กลับมาควบคุมการหายใจเข้า-ออกปกติต่อ 4.ช่วงสุดท้ายค่อยหายใจออกอย่างแรง 1-2 ครั้ง
ทั้งนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดด้วยตนเองที่กล่าวมา ควรทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง
ควรหยุดเมื่อใด ?
– ถ้าทำแล้วมีอาการเหนื่อย หายใจเร็วมากขึ้น
– มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ได้แก่ แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ ใจสั่น ปวดศีรษะ ตามัว เหงื่อออกมาก ซีด เขียว หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ
– กรณีมีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน