ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเผชิญกับภัยคุกคามทางวิกฤตสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่ ดังนั้น การปรับตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจกำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน และวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศ จึงกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร (RISE) ออกแบบหลักสูตร Sustainability Transformation Xponential หรือ STX เพื่อช่วยนำทางให้แก่ภาคธุรกิจเดินไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่งได้มีการเปิดตัวหลักสูตรไปแล้วเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมผ่านมา พร้อมกับจัดเวทีสัมมนาเป็น presession ของหลักสูตร STX
โดยมี “เกียรติชาย ไมตรีวงษ์” ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และ “ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมเสวนาถ่ายทอดมุมมองการทำธุรกิจบนเส้นทางความยั่งยืนท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศในยุคปัจจุบัน
- บริษัทดังประกาศปิดกิจการ ทุกสาขาทั่วประเทศ เลิกจ้างหลายชีวิต
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 2 พ.ค. ย้อนหลัง 10 ปี
“เกียรติชาย” กล่าวว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศ สร้างความเสี่ยงมากมายให้แก่โลก ไม่ว่าจะเป็นอากาศแปรปรวน ร้อนสุดขั้วจนเกิดคลื่นความร้อน ฝนตกรุนแรงน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่ควรเกิด ปัญหาไฟไหม้ป่า ฝุ่น PM 2.5 ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบ ecosystem ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต อุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม
แน่นอนว่าความเสี่ยงเหล่านี้สร้างความหวาดกลัว และตื่นกลัวให้กับประชาชน ภาครัฐ รวมทั้งภาคธุรกิจอย่างมาก โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ในอนาคต หากยังไม่เร่งปรับตัวจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ เพราะวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ส่งผลมาถึงระบบซัพพลายเชน อย่างเลี่ยงไม่ได้
“ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้หลายประเทศเริ่มออกมาตรการเพื่อทำการ adoption หรือการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามที่ประชุม COP : Conference of the Parties เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยเฉพาะ EU ที่เริ่มมีการออกมาตรการ CBEM เพื่อควบคุมคาร์บอนไดออกไซด์ในการขนสินค้าข้ามแดน เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในพื้นที่ และหลาย ๆ บริษัทฝั่งยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการตื่นตัว และกำหนดให้การปล่อยคาร์บอนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่จะทำการค้าระหว่างองค์กร”
ดังนั้น การค้าการลงทุนนับจากนี้จะต้องดำเนินการตามมาตรการใด ๆ ก็ตาม ต้องลดอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (met zero emissions) วันนี้ภาคธุรกิจปฏิเสธที่จะไม่ทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของโลกใบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะหากไม่เร่งดำเนินการจะทำให้ธุรกิจของเราหลุดออกจากเทรนด์ และโอกาสการต่อยอดกับต่างประเทศก็จะลดน้อยลงด้วย
ขณะที่ “ธนวัฒน์” กล่าวเสริมว่า การจะลดคาร์บอน หรือก๊าซเรือนกระจกนับจากนี้ องค์กรจะต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเอง โดยเฉพาะการหาเทคโนโลยีมาดิสรัปชั่น ด้วยการทำการจัดเก็บคาร์บอน และตรวจวัดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้รู้ว่าปล่อยไปเท่าไหร่ และจะต้องหามาชดเชยเท่าไหร่ โดยที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ให้ความสำคัญกับการวางกลยุทธ์ตาม SDGs
คือการให้ความสำคัญในด้านพลังงาน ด้านน้ำ และด้านการปล่อยของเสีย เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าต่อไปองค์กรจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบ หรือวิกฤตสภาพอากาศ เพราะเราอยู่ใน ecosystem ดังนั้น การทำธุรกิจจะต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอน เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
“สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในรูปแบบ sustainability ของไมโครซอฟท์ เรามองเรื่องผลประโยชน์มากกว่า เพราะความยั่งยืนไม่ใช่การทำสังคมสงเคราะห์ โดยไมโครซอฟท์มีการทำระบบข้อมูลผ่านมาตรการ 5R ได้แก่ record, report, reduce, remove, replace ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะสามารถรู้สถานะคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) ของตนเอง และปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบยั่งยืนได้ตรงตามเป้าหมาย”
อีกสิ่งหนึ่งที่ไมโครซอฟท์ตั้งใจคือเราต้องการ lead เรื่องนี้ by example โดยที่ commitment ของไมโครซอฟท์ในเรื่องของ sustainability เลือกทำ 4 เรื่องจากเป้าหมาย SDGs 17 ประการของสหประชาชาติ ได้แก่ 1.carbon โดยในปี 2025 ทุก data center ของไมโครซอฟท์บนโลกกว่า 200 data center จะรันด้วย renewable energy 100%
หรือในปี 2030 ไมโครซอฟท์จะต้องกลายเป็น negative carbon company และในปี 2050 จะดำเนินการกับคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่ไมโครซอฟท์เคยปล่อยออกมาตั้งแต่เริ่มต้นบริษัทเมื่อปี 1975 ให้แล้วเสร็จและกลายเป็นศูนย์
2.น้ำ จะมุ่งสู่สถานะ “water positive” หรือคืนน้ำสะอาดสู่สิ่งแวดล้อมมากกว่าที่นำมาใช้ภายในปี 2030
3.ขยะของเสีย หรือ waste management มีการตั้งเป้าว่าภายในปี 2030 จะมุ่งสู่ positive ในเรื่องขยะของเสีย
และ 4.ทำงานร่วมกับ ecosystem เช่น ใครที่จะทำงานกับไมโครซอฟท์ ต้องตระหนักเรื่องเหล่านี้ไปด้วยกัน นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราทำ เมื่อเราทำได้ดีจะสร้างกระแส หรือช่วยสร้างความตระหนักไปทั้งโลก
สำหรับ “นพ.ศุภชัย ปาจรยานนท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร อธิบายถึงการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เปลี่ยนวิกฤตสภาพอากาศเป็นโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยไว้ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศกลายเป็นเมกะเทรนด์ขนาดใหญ่ของโลก รองลงมาจาก AI การทำธุรกิจบนแนวทาง sustainability ไม่ได้เป็นการทำเพราะกระแสทางการตลาดอีกต่อไป
เพราะนับจากนี้ทุกองค์กรจะต้องมีแนวทางที่ทำธุรกิจบนความยั่งยืนที่เป็นมากกว่าการแยกขยะ โดยจะต้องเป็นแนวทางที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงคือจะต้องสร้างโอกาสจากความเปลี่ยนแปลง และทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอดไปด้วย แนวทางแรกที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด และเติบโตคือทุกองค์กรต้องรู้จักตัวเองก่อน จากนั้นจึงหาวิธีการลดคาร์บอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ
ดังนั้น ภาคธุรกิจจะต้องหาวิธีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกิจรูปแบบ sustainability แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานที่จะทำให้ธุรกิจเดิมอยู่รอด และสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความยั่งยืน เพราะเราหนีไม่พ้นวิฤกตสภาพอากาศครั้งนี้ และจะต้องทำตามข้อตกลงที่ประเทศไทยเสนอต่อการประชุม COP ในปีที่ผ่าน ๆ มา นอกจากเป้าหมายของ RISE ที่ผลักดันการเพิ่ม GDP ของประเทศอีก 1% แล้ว ยังต้องการช่วยประเทศลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ได้อีก 1% ด้วย
จากทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นจุดเริ่มต้นให้ RISE เชื่อว่าภาคธุรกิจอาจจะยังสับสน และจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นออกแบบธุรกิจบนความยั่งยืนอย่างไร ดังนั้น RISE จึงเปิดหลักสูตร STX หลักสูตรแรกและหลักสูตรเดียวในประเทศไทยที่จะเข้ามาช่วยนำทางให้แก่ภาคธุรกิจเดินไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยองค์ความรู้ทั้งหมดจะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในองค์กร และทำให้องค์กรในประเทศไทยกลายเป็นองค์กรชั้นนำในการทรานส์ฟอร์มสู่ธุรกิจที่ยั่งยืน