WHO เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หารือเพื่อให้ไทยเข้าร่วมโครงการนำร่องกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะผู้บริหารระดับสูงขององค์การอนามัยโลก (WHO: World Health Organization) นำโดย ดร.ซามีรา อาสมา (Dr. Samira Asma) ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ องค์การอนามัยโลก ประจำสำนักงานใหญ่ นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดร.สเตลลา ชุงกอง (Dr. Stella Chungong) ผู้อำนวยการการเตรียมความพร้อมเพื่อความมั่นคงด้านสุขภาพ พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าพบนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน วานนี้ (26 เมษายน 2565) ณ ห้องจัตุมงคล ชั้น 6 อาคารกระทรวงแรงงาน เพื่อหารือโครงการนำร่องกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อม กรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
- วิธีลงทะเบียนแอป ทางรัฐ ยืนยันตัวตน รับเงินดิจิทัล 10,000 บาท
- กระทรวงเกษตรฯ ปลดล็อกการนำเข้าโคเนื้อ-กระบือจากประเทศเมียนมา
- อธิบดีราชทัณฑ์ เปิดไทม์ไลน์ บุ้ง ทะลุวัง ก่อนเสียชีวิต
โดยมีนางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย
นายสุชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับในการบริหารจัดการและรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผลจากการบูรณาการทำงานร่วมกันตามนโยบายรัฐบาลที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ที่ได้ให้กระทรวงแรงงานบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาหลายด้าน อาทิ การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวเพื่อนำเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย, โครงการ Factory Sandbox, การตรวจคัดกรองเชิงรุก RT-PCR 100% ภายใต้โครงการ “แรงงาน…เราสู้ด้วยกัน”, การจัดหาเตียง Hospitel รองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19, การเปิดสายด่วนให้ความช่วยเหลือ ประสานหาเตียงรองรับการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19, การตั้งศูนย์ฉีดวัคซีนเพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33 เป็นต้น
นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงแรงงานเร่งให้การช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาลเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงาน และรักษาระดับการจ้างงาน ประคับประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ อีกทั้งยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคส่งออกเติบโตต่อเนื่อง โดยมีหลักการสำคัญ 4 ประการ คือ
ประการที่ 1 รักษาการจ้างงานและรักษาศักยภาพธุรกิจภาคส่งออกที่มีภาคแรงงานกว่า 2 ล้านคน ใน 4 สาขา ได้แก่ อาหาร เครื่องมือแพทย์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากหลายประเทศไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
ประการที่ 2 การจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ซึ่งในช่วงแรกมีวัคซีนจำกัด จึงต้องจัดสรรให้ผู้สูงอายุก่อน ขณะเดียวกันกระทรวงแรงงานได้เล็งเห็นความสำคัญของผู้ใช้แรงงานที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศ จึงขอรับการจัดสรรวัคซีนจากรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และป้องกันไม่ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานต้องนำเชื้อโควิด-19 ไปติดผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว
จึงได้ดำเนินโครงการ Factory Sandbox ตามนโยบายรัฐบา ลด้วยหลักการเศรษฐศาสตร์คู่กับสาธารณสุข ทั้งการตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล เยียวยา การให้ความช่วยเหลือ การฉีดวัคซีน ตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อประคับประคองให้ธุรกิจเดินได้
ประการที่ 3 สำนักงานประกันสังคมมีโรงพยาบาลในเครือข่ายที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศรวมกว่า 200 แห่ง ซึ่งมีทีมแพทย์และพยาบาลที่มีศักยภาพและมีความพร้อมในการรองรับการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อาศัยสถานพยาบาลเหล่านี้ในการตรวจคัดกรอง ดูแลรักษา และฉีดวัคซีนแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
ประการที่ 4 กระทรวงแรงงานได้ทำงานใกล้ชิดกับสหภาพแรงงาน จึงทำให้การดำเนินโครงการดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด บรรลุวัตถุประสงค์และตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการและพี่น้องผู้ใช้แรงงานอย่างแท้จริง
“กระทรวงแรงงาน ขอขอบคุณองค์การอนามัยโลก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ให้การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการดูแลผู้ใช้แรงงานให้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ธุรกิจส่งออกเติบโตในรอบ 11 ปี
ช่วยเหลือสถานประกอบการจนทำให้สามารถรักษาการจ้างงาน และบางบริษัทสามารถจ่ายโบนัสได้ถึง 8 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เกิดการจ้างงานต่อเนื่อง ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ลูกจ้างกลุ่มยานยนต์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศก้าวข้ามช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปได้” นายสุชาติกล่าว
ดร.ซามีรา อาสมา กล่าวว่า ขอบคุณกระทรวงแรงงานที่ได้ให้เข้ามาหารือ เพื่อให้ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการนำร่องกลไกทบทวนการเตรียมความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า
“ขอชื่นชมรัฐบาล กระทรวงแรงงาน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และภาคเอกชนที่ได้บูรณาการความร่วมมือระหว่างกันเพื่อหาความสมดุลในการดูแลสุขภาพของพี่น้องแรงงานช่วงโควิด-19 โดยไม่ให้ภาคธุรกิจต้องปิดกิจการ
โดยไม่ได้สนใจแค่เศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญหลักเศรษฐศาสตร์คู่สาธารณสุข และคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนของแรงงานที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นนโยบายและแนวปฏิบัติที่ดีเลิศในการให้ต่างชาติได้เรียนรู้จากประสบการณ์บริหารความเสี่ยงเพื่อนำไปปรับใช้ในช่วงวิกฤตได้ต่อไป”