“คีรี ทราเวล” ย้ำภาพ ผู้นำตลาด “ท่องเที่ยวเชิงลึก”

เปิดให้บริการบริษัทนำเที่ยว (inbound) ในประเทศไทยและประเทศในแถบอินโดจีนมาเกือบ 30 ปีแล้ว สำหรับบริษัท คีรี ทราเวล จำกัด ปัจจุบันเป็นบริษัทที่นำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศไทยด้วยจำนวนกว่า 30,000 คนต่อปี

“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “วิลเลี่ยม นิเมเยอร์” ประธานกรรมการ บริษัท คีรี ทราเวล จำกัด (KHIRI TRAVEL) ถึงแนวทางและรูปแบบการทำการตลาดส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกตลอดเวลาเกือบ 30 ปี

ที่ผ่านมา รวมถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจและเป้าหมายในอนาคตไว้ดังนี้

โฟกัสทัวร์ inbound 

“วิลเลี่ยม” เริ่มต้นเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เข้ามาเปิดบริษัทนำเที่ยวในประเทศไทยว่า ตัวเขาเองเป็นชาวฮอลแลนด์ ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว เริ่มเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่อายุ 12-13 ปี (ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ) และมีโอกาสได้มาเที่ยวประเทศไทยเมื่อราวปี 1982 ระยะหลังได้ทำงานกับบริษัททัวร์ที่ประเทศฮอลแลนด์ จึงทำให้เขามีโอกาสได้เดินทางมากยิ่งขึ้น กระทั่งได้รู้จักกับบริษัททัวร์ในประเทศไทยจึงเข้ามาทำงานที่เมืองไทย

สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดบริษัททัวร์ของตัวเองภายใต้ชื่อ “คีรี ทราเวล” ในช่วงปี 1987 โดยวางโพซิชันนิ่งของบริษัทเป็น inbound เพียงอย่างเดียวเท่านั้น กล่าวคือ ทำการตลาดเพื่อดึงนักท่องเที่ยว

จากทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดในโซนยุโรป อเมริกา แคนาดา ฯลฯ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงเป็นหลัก

“วิลเลี่ยม” บอกว่า ในปีที่เขาตัดสินใจเปิดบริษัททัวร์นั้นเป็นปีที่ประเทศไทยประกาศให้เป็น Visit Thailand Year พอดี ซึ่งถ้าจำไม่ผิดในปีนั้นประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านคนต่อปีเท่านั้น

ชู 4 ประเทศ 1 เดสติเนชั่น

บวกกับเป็นปีที่มี “ชาติชาย

ชุณหะวัณ” เป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศนโยบายว่า จะเปลี่ยน “สนามรบ” ให้เป็น “สนามการค้า” และเป็นปีที่เศรษฐกิจประเทศไทยมีความคึกคักอย่างมาก

จากนโยบายดังกล่าวนี้ ทำให้”วิลเลี่ยม” เห็นโอกาสในการทำเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมระหว่างประเทศไทยกับประเทศในแถบอินโดจีน ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา รวมถึงเมียนมา โดยวางเส้นทางทำแพ็กเกจการขายแบบ4 ประเทศ 1 เดสติเนชั่น โดยใช้กรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อการเดินทางทั้งหมด ในช่วงเริ่มต้นนั้นลูกค้าหลักส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรปและอเมริกา เพราะในช่วงนั้นกลุ่มที่มีการเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุดอยู่ในโซนยุโรปและอเมริกาเป็นหลัก

“นักท่องเที่ยวชาวยุโรปและอเมริกาที่เดินทางมาท่องเที่ยวเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 14-15 วัน การที่เราเชื่อมโยง

เส้นทางท่องเที่ยวได้ถึง 4 ประเทศ ทำให้เป็นอะไรที่ตอบโจทย์อย่างมาก เพราะกลุ่มนี้ใช้เวลาเดินทาง 10-12 ชั่วโมง มาแล้วต้องมาให้คุ้มด้วย แพ็กเกจของเราจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น”

เน้นขาย Local Experience

“วิลเลี่ยม” ยังอธิบายด้วยว่า สำหรับแพ็กเกจการท่องเที่ยวที่ “คีรี ทราเวล” นำเสนอนั้นเป็นรูปแบบที่เราเรียกว่า “การท่องเที่ยวเชิงลึก” หรือรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับศิลปวัฒนธรรม อาหาร และความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ (local experience) โดยให้นักท่องเที่ยวได้มีประสบการณ์ร่วมกับวิถีความเป็นอยู่ของคนไทยและคนในอีก 4 ประเทศดังกล่าวด้วย

“ลูกค้าเราจะเป็นกลุ่มค่อนข้างเฉพาะ ส่วนใหญ่อยากเข้ามาสัมผัสวัฒนธรรม ธรรมชาติของแต่ละประเทศที่เราทำตลาดอยู่ ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับโปรดักต์เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น การสร้างประสบการณ์ด้านอาหารเมื่อนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเชียงใหม่เราจะจัดโปรแกรมให้ไปรับประทานอาหารที่ร้านเวียงกุมกาม และให้คนเชียงใหม่มาทำอาหารโชว์ให้ดูและรับประทาน เป็นต้น ซึ่งในแต่ละประเทศเราก็จะมีสถานที่ในลักษณะแบบนี้เช่นกัน โดยเราจะเน้นในเรื่อง localcommunity ให้มากที่สุด เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้นักท่องเที่ยว”

เพิ่มเครือข่ายคลุมทุกเซ็กเมนต์

“วิลเลี่ยม” บอกด้วยว่า ปัจจุบัน “คีรี ทราเวล” มีออฟฟิศอยู่ใน 7 ประเทศ รวม 18 สำนักงาน อาทิ ไทย, ลาว, กัมพูชา, เมียนมา, ศรีลังกา เป็นต้น รวมทั้งมีเซลส์ออฟฟิศอยู่ในสหรัฐอเมริกาด้วย

นอกจากนี้ยังมีบริษัทในเครือข่ายอีกจำนวนหนึ่งด้วย โดยมี ยานนา เวนเจอร์ (YAANA Ventures) เป็นโฮลดิ้ง ได้แก่ Grasshopper Adventures เป็นทัวร์อินบาวนด์ในลักษณะ B2C, Ground ทำทัวร์แนวแอดเวนเจอร์, ANURAK ประกอบธุรกิจโรงแรม และ Cardamom จับกลุ่มลูกค้ามหาวิทยาลัยจากทั่วโลกรวมทั้งหมดปัจจุบันมีเครือข่ายอยู่ประมาณ 30 แห่งทั่วโลก

ขยับรุก “เอเชีย” รับตลาดโต

“วิลเลี่ยม” ยังบอกอีกว่า แนวทางการทำการตลาดของกลุ่ม “คีรี ทราเวล” นั้นสอดรับกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงลึกและกระจายลงไปสู่เมืองรอง ยิ่งหนุนให้แนวทางการทำการตลาดของบริษัทได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนประกอบกับแนวโน้มของธุรกิจทัวร์ทั่วโลกยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องทุกปี ปีละประมาณ 5% โดยภูมิภาคที่มีการขยายตัวสูงสุดคือ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นกลุ่มที่น่าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 10%

และในระยะหลังนี้กลุ่ม “คีรี ทราเวล” ก็หันมาโฟกัสตลาดในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น พร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย