ทุนโรงแรมไทยผงาด ทุ่มลงทุน ตปท.รับอุตฯท่องเที่ยวโต

ผลวิจัยของ “เวิลด์ ทราเวล มาร์เก็ต อินดัสทรี รีพอร์ต” ซึ่งสำรวจผู้ประกอบการท่องเที่ยวนานาชาติ 1,622 คนทั่วโลกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ระบุว่าผู้ประกอบการกว่า 74% เชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2561 พร้อมทั้งระบุว่า แนวโน้มการจองการเดินทางล่วงหน้ายังคงขยายตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้บรรยากาศซื้อขายสินค้าและบริการการท่องเที่ยวคึกคักขึ้นเช่นกัน

แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับผลวิจัยจาก จีบีทีเอ ฟาวเดชั่น และ คาร์ลสัน วากอนลิท ทราเวล ที่คาดการณ์ว่า สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในปี 2561 นี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 4% ทั้งตั๋วโดยสารสายการบิน โรงแรม รวมถึงการขนส่งทางบก ฯลฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและความต้องการด้านท่องเที่ยวที่ยังเติบโตสูงนั่นเอง

หน้าใหม่-ทุนหนาโดดร่วมแจม

จากทิศทางขาขึ้นของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้กลุ่มผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจโรงแรมต่างหันไปให้น้ำหนักกับการขยายพอร์ตธุรกิจออกสู่ต่างประเทศกันอย่างคึกคัก ทั้งในรูปแบบการร่วมทุนกับพันธมิตร การเข้าไปรับจ้างบริหาร การเข้าไปซื้อกิจการ รวมถึงการเข้าไปซื้อหุ้นกลุ่มโรงแรมในต่างประเทศ

แหล่งข่าวในธุรกิจโรงแรมรายหนึ่ง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การลงทุนของโรงแรมสัญชาติไทยในต่างประเทศก่อนหน้านี้จะมี 4 กลุ่มใหญ่ คือ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, กลุ่มเซ็นทารา และเครือออนิกซ์ แต่ปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่หน้าใหม่ที่มีทุนหนามองเห็นโอกาสหันมาขยายในธุรกิจโรงแรมกันเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

“สิงห์ เอสเตท” ซื้อเอาท์ริกเกอร์

“นริศ เชยกลิ่น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนซื้อกิจการโรงแรม และรีสอร์ต ในแบรนด์เอาท์ริกเกอร์ (OUTRIGGER) จำนวน 6 แห่งใน 4 ประเทศท่องเที่ยวชั้นนำ มูลค่า 310 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบด้วย โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์

ฟิจิ บีช รีสอร์ท ประเทศฟิจิ, โรงแรมแคสต์อะเวย์ ไอส์แลนด์ ประเทศฟิจิ, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตต้า มัลดีฟส์ รีสอร์ท ประเทศมัลดีฟส์ ทำให้บริษัทมีพอร์ตธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตเพิ่มขึ้นรวมเป็น 37 แห่งทั่วโลก นับเป็นหนึ่งในย่างก้าวสำคัญตามแผนกลยุทธ์การลงทุนของสิงห์ เอสเตท (smart M&A) ซึ่งมุ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว และมีศักยภาพในการเติบโตสูง

“การเข้าซื้อกิจการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตของกลุ่มเอาท์ริกเกอร์ใน 4 ประเทศครั้งนี้ จะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคง และลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ให้กับพอร์ตการลงทุนของธุรกิจโรงแรม ผ่านการเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มลูกค้า กระจายการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก”

“นริศ” บอกอีกว่า สำหรับตลาดต่างประเทศนั้น นอกจากทั้ง 4 ประเทศดังกล่าว ขณะนี้สิงห์ เอสเตท ยังมีแผนเข้าไปลงทุนในอีกหลาย ๆ โครงการ ส่วนใหญ่อยู่ในมัลดีฟส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการถมเกาะใหม่ โดยปลายปีนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จ 2 เกาะ หนึ่งในนี้จะเป็นเกาะใหญ่ มีมารีน่า อู่จอดเรือ มีบีชคลับที่ใหญ่ที่สุดในโลก

“ดุสิตฯ” รุกทุกภูมิภาคทั่วโลก

“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางในการขยายธุรกิจโรงแรมไว้ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะสร้างสมดุลให้พอร์ตของธุรกิจมากขึ้น ทั้งในมุมของรายได้ภายในและภายนอกประเทศ การลงทุนด้วยตัวเองและรับบริหารโรงแรม

โดยมีเป้าหมายขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างน้อย 3 เท่าตัว จากที่มีอยู่ในปัจจุบันที่โรงแรมให้บริการแล้วทั้งที่ลงทุนเองและรับบริหารรวม 27 แห่ง และเตรียมเปิดให้บริการเพิ่มอีกกว่า 70 แห่งทั่วโลกภายใน 4 ปีข้างหน้า สำหรับในปี 2561 นี้ตั้งเป้าจะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อย่างน้อย 11 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กลุ่ม “ดุสิต อินเตอร์ฯ” ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจไว้ว่า บริษัทได้ฐานธุรกิจไปสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และเคนยา ไปแล้ว และปีที่ผ่านมาได้มีการเซ็นสัญญาเพื่อบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 50 แห่งทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย ภูฏาน จีน อินโดนีเซีย เคนยา พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ตุรกี โอมาน กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

โดยโรงแรมที่เตรียมจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ อาทิ ดุสิตดีทู ภูฏาน ซึ่งจะกลายเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ, ดุสิตธานี สิงคโปร์, ดุสิตธานี ออสเตรเลีย, ดุสิตธานี ตุรกี, ดุสิตธานี เมียนมา เป็นต้น

“ไมเนอร์” ซื้อหุ้นเอ็นเอช โฮเทล

ขณะที่บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ล่าสุดได้ประกาศเซ็นสัญญาเข้าถือจำนวน 30 ล้านหุ้นในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งเป็นเครือโรงแรมใหญ่อันดับ 6 ของทวีปยุโรป ด้วยเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 192 ล้านยูโร ซึ่งเมื่อรวมกับการถือหุ้นเดิมเป็นผลให้ MINT ถือหุ้นทั้งสิ้นในสัดส่วนร้อยละ 8.6 ในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป

โดยเอช โฮเทล กรุ๊ป นั้นมีตลาดหลักทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ประเทศสเปน สหภาพเศรษฐกิจเบเนลักซ์ ยุโรปกลาง และประเทศอิตาลี ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ด้วยความสำเร็จในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของทั้งกลุ่มในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจในทวีปยุโรปที่ปรับตัวดีขึ้น

“ดิลิป ราชากาเรีย” ซีอีโอ ไมเนอร์ โฮเทลส์ กล่าวว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นไปตามกลยุทธ์ของ MINT ในการต่อยอดธุรกิจในตลาดที่มีการดำเนินธุรกิจอยู่ในบัจจุบัน ซึ่งรวมถึงภูมิภาคเอเชีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และยุโรป โดยจะช่วยส่งเสริมธุรกิจในภูมิภาคยุโรป ด้วยเครือข่ายธุรกิจของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมและรีสอร์ตจำนวน 382 แห่งใน 30 ประเทศทั่วทวีปยุโรป อเมริกา และแอฟริกา

“ดิเอราวัณ” บุกหนักฟิลิปปินส์

สำหรับบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นั้น หลังจากที่ได้ปรับเปลี่ยนแม่ทัพใหม่จาก “กมลวรรณ วิปุลากร” ที่เกษียณอายุไปมาเป็น “เพชร ไกรนุกูล” กรรมการผู้จัดการใหญ่เมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมา ก็ยังคงเดินหน้าสานต่อการลงทุนตามแผนเดิมที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 นี้ใช้งบฯลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท และอีกประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับลงทุนในปี 2562-2563

ทั้งนี้ มีเป้าหมายว่า ปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายขยายจำนวนโรงแรมให้ได้ไม่ต่ำกว่า 85 โรงแรม มีห้องพักมากกว่า 10,000 ห้อง ในจำนวนนี้ 12 แห่งอยู่ในฟิลิปปินส์

“เพชร” บอกย้ำว่า บริษัทจะลงทุนในประเทศที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าลงทุนในไทยพอสมควร เพื่อช่วยลดความเสี่ยง เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงแค่ความเคลื่อนไหวส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนโรงแรมไทยในการนำ “ฮอสพิทาลิตี้” ไทยก้าวสู่ตลาดโลกเท่านั้น…