ยัน ภูเก็ต-สมุย เข้าเป้า สเต็ป 3 ดันกอล์ฟหนุนเปิดประเทศ

พิพัฒน์ รัชกิจประการ
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
สัมภาษณ์

แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาค่อนข้างหนาหูจากหลายภาคส่วน รวมถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “สมหมาย ภาษี” ที่ประเมินว่า โครงการ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ไม่น่าจะผลิดอกออกผลตามที่ภาครัฐบาลวาดฝันไว้

แต่รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ยังคงประกาศเดินหน้าเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายเปิดประเทศเพื่อฟื้นเศรษฐกิจของนายกฯ “บิ๊กตู่-ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ต่อไป ตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้

ยันภูเก็ตแซนด์บอกซ์เข้าเป้า

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้ร่วมสัมภาษณ์ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ถึงผลตอบรับของโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ แนวทางและเป้าหมายสำหรับการเปิดสมุย (Samui Plus) รวมถึงแผนการทยอยเปิดพื้นที่เมืองท่องเที่ยวรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในระยะต่อไป ไว้ดังนี้

“รมว.พิพัฒน์” บอกว่า การที่มีคนมาคอมเมนต์ หรือวิพากษ์วิจารณ์โครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้คนทำงานได้รับรู้ข้อมูลและพร้อมที่จะดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น แต่ส่วนตัวประเมินว่า “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์” ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

และหากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปี 2563 ที่ผ่านมา ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพียงประมาณ 10,000 คน จากโครงการ STV ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ในช่วง 13 วันแรก (1-13 กรกฎาคม 2564) มีจำนวนรวม 5,174 คน หรือครึ่งหนึ่งของปีที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่ารายได้ที่ราว 460-500 ล้านบาท คาดว่าเดือนกรกฎาคมนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมเกือบ 20,000 คน

สรุปคือ ดีกว่าที่ยังไม่เริ่มต้นทำอะไรเลย

มั่นใจ 3 เดือน ได้ 1 แสนคน

และมั่นใจว่าสำหรับกรกฎาคมซึ่งเป็นเดือนแรกของการเปิดรับต่างชาติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มา อาจไม่เป็นไปตามเป้านัก แต่เชื่อมั่นว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าเดือนละ 30,000 คน ในเดือนสิงหาคมและกันยายนนี้

โดยเชื่อว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาภูเก็ตช่วง 3 เดือนแรกของโครงการ หรือในไตรมาส 3 นี้มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100,000 คนตามเป้าหมายเดิมที่ตั้งเป้าไว้ และจะเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป

ตั้งเป้าสมุย 3 เดือน 2 หมื่นคน

สำหรับพื้นที่สมุยนั้น กระทรวงการท่องเที่ยวฯ โดย ททท. และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ทำพิธีเปิดสมุย หรือ Smui Plus ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่ 3 เกาะฝั่งอ่าวไทย ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มขึ้นอีก 1 พื้นที่ เมื่อ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา

“รมว.พิพัฒน์” บอกว่า สำหรับ “สมุย พลัส” นั้น โดยรวมแล้วยังมีข้อจำกัดเรื่องการเดินทางที่นักท่องเที่ยวต่างชาติต้องมาต่อเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิเข้าสมุย รวมถึงเงื่อนไขที่กำหนดให้นักท่องเที่ยวที่มานั้นต้องอยู่ในบริเวณโรงแรมในช่วง 3 วันแรก และใน 7 วันแรกต้องอยู่ในเส้นทางซีลรูตของสมุย จากนั้นถึงจะสามารถเดินทางทั่วบริเวณเกาะสมุย และต่อไปยังเกาะพะงันและเกาะเต่าได้ ตั้งแต่วันที่ 8 เป็นต้นไป

ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นนี้คงยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากนัก โดยคาดว่าในช่วง 3 เดือนแรก (15 กรกฎาคม-15 ตุลาคม) น่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 20,000-25,000 คน หรือราว 20-25% ของ “ภูเก็ตแซนด์บอกซ์”

เปิด “กระบี่-พังงา” 1 ส.ค.

พร้อมย้ำว่า นอกจากภูเก็ตและสมุยแล้ว ขณะเดียวกัน กระทรวงยังเตรียมพร้อมสำหรับเปิดพื้นที่เกาะพีพี ไร่เลย์ เกาะไหง จังหวัดกระบี่ และพื้นที่เขาหลัก จังหวัดพังงา ซึ่งตามแผนจะเปิดดำเนินการในวันที่ 1 สิงหาคมนี้

“ตอนนี้เราต้องดูตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้าสมุยก่อนว่าเป็นอย่างไร และเราควรปรับแนวทางการเปิดของพื้นที่เกาะพีพี ไร่เลย์ กระบี่ รวมถึงเขาหลัก พังงา อย่างไร เพราะมองว่าในแง่การเดินทางสู่พีพี ไร่เลย์ รวมถึงเขาหลัก ยังมีข้อจำกัดเช่นกัน”

“รมว.พิพัฒน์” บอกด้วยว่า ตนมีแผนเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายในสัปดาห์หน้า เพื่อขอให้พิจารณาการเดินทางท่องเที่ยวในรูปแบบที่เรียกว่า Island hopping โดยให้อยู่ในภูเก็ต 7 วัน ส่วนอีก 7 วันหลังให้มีเส้นทางซีลรูตไปยังพื้นที่เกาะอื่น ๆ ได้ เช่น เกาะพีพี ไร่เลย์ เขาหลัก หรือสมุย ฯลฯ ได้ด้วย จากเดิมที่กำหนดให้ต้องอยู่ภูเก็ต 14 วันก่อน

หากการเจรจาสำเร็จ คาดว่าน่าจะเริ่มใช้การท่องเที่ยวในรูปแบบ Island hopping นี้ได้ในวันที่ 1 สิงหาคม พร้อมกับการเปิดพื้นที่กระบี่ และพังงา

ขายกอล์ฟ 4 จังหวัดใต้+เชียงใหม่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังพูดถึงแผนระยะยาวด้วยว่า ไม่เพียงแค่แผนเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวรับต่างชาติในช่วงไตรมาส 3 นี้เท่านั้น ขณะนี้กระทรวงยังมองถึงแผนสำหรับไตรมาส 4 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2565 ด้วย

โดยหนึ่งในแผนคือจะให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา โดยจะเน้นที่เรื่องกอล์ฟ ขายสนามกอล์ฟในคลัสเตอร์ 4 จังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว คือ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (สมุย) กระบี่ และพังงา ในเดือนสิงหาคมนี้ จากนั้นมีแผนขยายไปใน 2 จังหวัดในภาคเหนือคือ เชียงใหม่ และลำพูนในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

เนื่องจากไตรมาส 4 จะเป็นไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวในภาคเหนือ ขณะที่เชียงใหม่และลำพูนก็มีสนามกอล์ฟจำนวนมาก ที่เดิมทีเดียวมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้บริการอยู่แล้ว

“ตอนนี้เราพยายามมองหาพื้นที่ท่องเที่ยวในจังหวัดที่เป็นสีเหลืองและสีเขียว เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามนโยบายเปิดประเทศภายใน 120 วันของท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งคงต้องหารือร่วมกับผู้ว่าฯเชียงใหม่และผู้ว่าฯลำพูน ต่อไป”

ไล่เปิดจังหวัดพื้นที่สีเขียว-เหลือง

“รมว.พิพัฒน์” ยังย้ำด้วยว่า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศจะยังรุนแรง แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้านโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อฟื้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยเลือกพื้นที่ในจังหวัดที่เป็นสีเขียวและเหลือง หรือพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดต่ำ หรือไม่มีการระบาดเป็นหลัก

อาทิ หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี ฯลฯ โดยโฟกัสจุดขายด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และโบราณสถาน เป็นหลัก ซึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวยุโรป อเมริกาอยู่แล้ว

“ส่วนพื้นที่พัทยา ชลบุรี รวมถึงหัวหิน ชะอำ และกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดค่อนข้างหนักนั้น คาดว่าจะยังคงไม่สามารถเปิดได้ในเดือนตุลาคมนี้ แต่สำหรับกรุงเทพฯนั้นจะพยายามเปิดให้ได้ภายในปีนี้”

ยันเป้า นทท.ทั้งปี 3 ล้านคน

สำหรับแผนการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น “รมว.พิพัฒน์” บอกว่า สถานการณ์ในวันนี้คงต้องปรับแผนกันอีกครั้ง เพราะการแพร่ระบาดของโควิดยังสูง แต่ก็หวังว่าน่าจะเกิดการเดินทางท่องเที่ยวได้บ้างในช่วงไตรมาส 4 นี้

โดยจะพยายามหารือร่วมกับ ททท.ให้คนไทยเริ่มลงทะเบียนในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 3 และโครงการ “ทัวร์เที่ยวไทย” ในช่วงประมาณเดือนกันยายนนี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น ที่ผ่านมาสภาพัฒน์ประเมินว่า จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 5 แสนคน ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า จะมีประมาณ 7 แสนคน แต่ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯยังคงเป้าไว้ที่จำนวน 3-4 ล้านคน

พร้อมย้ำว่า เป้าหมายดังกล่าวนี้ไม่ได้สูงเกินไป หากประเทศไทยสามารถเปิดด่านชายแดนได้ เพราะที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านที่มีด่านชายแดนเชื่อมกับประเทศไทยนั้นมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวมกันเกือบ 10 ล้านคน