“แจ็ค หม่า” เผยเพื่อนโทรขอยืมเงินติดกัน 5 ราย ชี้สัญญาณ “ธุรกิจจีน” อ่อนแรง

สำนักข่าวเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์รายงานว่า “แจ็ค หม่า” ผู้ก่อตั้งบริษัทอาลีบาบา อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน วัย 55 ปี ระบุว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากลำยากสำหรับผู้ประกอบการชาวจีน แต่ความยากลำบากนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น และยังระบุด้วยว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง”

ทั้งนี้ แจ็ค หม่าได้กล่าวในระหว่างการประชุมประจำปีของหอการค้าเจ้อเจียงที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีน เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยชี้ว่า นักธุรกิจต้องเข้าใจว่าความยากลำบากของปี 2019 อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในขณะเดียวกัน เขาก็เรียกร้องให้ผู้ประกอบการจีนมีความเชื่อมั่นและปรับตัว ให้เข้ากับเศรษฐกิจจีนและความเปลี่ยนแปลงของโลก

“ในช่วงปลายปีนี้ เมื่อวานผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของผมที่โทรมาเพื่อขอยืมเงิน ผมได้รับโทรศัพท์ถึง 5 สายภายในวันเดียว และเมื่อสัปดาห์ก่อนเพื่อนของผม 10 คนพยายามที่จะขายทรัพย์สินของพวกเขา มันเป็นความยากลำบากของพวกเขาอย่างแท้จริง” นายหม่ากล่าว

“ปี 2019 นั้นนับว่าหนักหนาสาหัสมาก พวกเราที่ดำเนินธุรกิจรู้ดีว่า ทุก ๆ ปีคือความยากลำบาก ในปีที่ผ่าน ๆ มา มีเพียงผู้ประกอบการบางรายที่เผชิญกับความลำบาก แต่ในปี 2019 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างพบว่ามันลำบากมาก” นอกจากนี้ นายหม่ายังกล่าวด้วยว่า โลกกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญหน้ากับการปรับตัวครั้งสำคัญ “เราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อปรับตัว และผมเชื่อมั่นว่านี่เป็นโอกาสใหม่ในการเริ่มต้นอีกครั้ง” เขากล่าว

แม้ว่า แจ็ค หม่าจะไม่ได้กล่าวตรงตัว แต่น้ำเสียงของเขาสะท้อนความรู้สึกกังวลของกลุ่มนักธุรกิจจีน โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอกชน เกี่ยวกับโอกาสของพวกเขาท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างจีนกับโลกภายนอก

ขณะที่จีนกำลังจะเปิดตัวรายงานที่เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2019 ที่สูงถึง 6% มีผู้ประกอบธุรกิจจำนวนมากที่พยายามต่อสู้เพื่ออยู่รอดในสภาพที่ยากลำบาก จากการสูญเสียเครดิต อย่าง “โจว เสี่ยวกวง” ที่เป็นนักธุรกิจจีนเจ้าของ “นีโอ กลอรี” บริษัทผู้ผลิตอัญมณีเครื่องแต่งกายที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ถูกยื่นฟ้องล้มละลายในปีนี้

ขณะที่ “อิ่น หมิงซัน” ผู้ก่อตั้งกลุ่ม “ลี่ฟาน” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “ราชาแห่งมอเตอร์ไซด์” ก็กำลังต้องเผชิญหน้ากับหนี้มหาศาล หลังจากที่หันไปลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีราคาสูงทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้ได้มากพอ ส่วน “เหอ เฉียวนู” ผู้ประกอบการด้านแลนด์สเคป ก็ถูกฟ้องร้องหลายคดีจากความไม่สามารถชำระหนี้ได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. แจ็ค หม่ายังได้กล่าวที่หอการค้าหูเป่ยที่เมืองหวู่ฮั่น ระบุว่า รูปแบบการค้าโลกแบบดั้งเดิมกำลังให้หนทางไปสู่กฎระเบียบและการปกครองแบบใหม่ และข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างจีนและสหรัฐอาจพลิกโฉมการค้าระหว่างประเทศ

“หลายคนโล่งใจที่ได้เห็นข้อตกลง แต่สำหรับผม มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ข้อตกลงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาอดีต แต่เกี่ยวกับการสร้างอนาคต และข้อตกลงนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อจีนและสหรัฐเท่านั้น แต่ทุกประเทศที่เรารู้จัก เช่น บราซิล ออสเตรเลีย และอาร์เจนตินา ก็จะได้รับผลกระทบด้วย”

ในส่วนเศรษฐกิจภายในประเทศ นายหม่าระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของจีนจากมหาอำนาจด้านการส่งออกไปสู่การเป็นผู้บริโคที่มีกำลังซื้อมหาศาล ได้ให้โอกาสครั้งเดียวในรอบ 100 ปีสำหรับภาคธุรกิจ “บางคนอาจบอกว่าจีนมีผู้บริโภคเพียง 100-200 ล้านคน แต่ผมเห็นว่าผู้บริโภคของจีนที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายไม่ได้มีเพียงแต่กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง 300 ล้านคน แต่มีเป็นพันล้านคน” นายหม่ากล่าวทิ้งท้าย