แม้การเลือกตั้งครั้งสำคัญของ “กัมพูชา” จะยังอีกเกือบปี โดยกำหนดการเลือกตั้งจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมปี 2018 อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวด้านการเมืองในประเทศกลับเริ่มคุกรุ่นจนลุกลามเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ “สหรัฐอเมริกา” กลายเป็นประเทศเป้าหมายที่รัฐบาลฮุน เซน ต่อต้านชัดขึ้น
นับตั้งแต่ที่นายกรัฐมนตรี “ฮุน เซน” ประกาศขับไล่ “สถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ” (NDI) องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ของสหรัฐ ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ความเคลื่อนไหวของนายฮุน เซน เวลานี้พุ่งเป้ามาที่สหรัฐ โดยมองว่าอำนาจของฮุน เซน เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่มีโอกาสก้าวสู่ “ประชาธิปไตย” ในการเลือกตั้งปีหน้า
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
ขณะที่ นายกฯ ฮุน เซน ตอบโต้ว่า”ประชาธิปไตยสไตล์อเมริกัน ก็อำมหิตไม่แพ้ชาติอื่น ๆ” และเมื่อ 3 ก.ย. ที่ผ่านมา นายเข็ม โสกา หัวหน้าพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ถูกจับกุมตัวที่บ้านพักในกรุงพนมเปญ โดยรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็น”กบฏ” พยายามวางแผนลับสมรู้ร่วมคิดกับสหรัฐ เพื่อโค่นล้มอำนาจรัฐบาล โดยเสี่ยงจำคุกสูงสุด 30 ปี หากศาลเห็นว่ามีหลักฐานยืนยันเพียงพอ
หลังจากนั้นเพียง 1 วัน “เดอะ แคมโบเดีย เดลี” หนึ่งในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษอิสระ ซึ่งมักวิจารณ์รัฐบาลมาตลอดได้ปิดตัวลงในวันที่ 4 ก.ย. โดยระบุว่าถูกรัฐบาลเล่นงานด้วยการเรียกภาษีย้อนหลังสูงเกินความเป็นจริง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ฮุน เซน พุ่งเป้าเล่นงานสหรัฐมากที่สุด โดยสื่ออิสระที่เพิ่งปิดลงตัวนอกจากผู้บริหารหนังสือพิมพ์เป็นชาวอเมริกัน ยังกล่าวอ้างถึงการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังนั้นไม่เป็นไปตามข้อตกลง โดยเป็นการเก็บภาษีที่สูงเกินจริงมากถึง 6.3 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังกำหนดเส้นตายให้จ่ายภายใน 30 วัน โดยไม่เปิดโอกาสให้เข้าเจรจา
ด้าน นายไมเคิล มิคาแร็ก กรรมการผู้จัดการสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ประจำภูมิภาค กล่าวว่า “การลงทุนโดยตรงของสหรัฐในกัมพูชาเริ่มชะลอตัว 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่อเมริกันยังติดท็อปไฟฟ์ของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ”
ความน่าสนใจก็คือ “สิ่งทอและรองเท้า” ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมทำเงินหลัก ซึ่งส่งออกไป 2 ตลาดหลัก ๆ ได้แก่ สหภาพยุโรป (อียู) ที่เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งสัดส่วนราว 43% ของยอดส่งออกสิ่งทอและรองเท้าทั้งหมด แต่นับตั้งแต่ที่เกิดวิกฤต “เบร็กซิต” ทำให้ตลาดส่งออกไปอียูลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง ขณะที่การเมืองอียูก็ยังสั่นคลอน ทำให้ความหวังกับการส่งออกตลาดอียูก็ดูยากลำบากมากขึ้น
ขณะที่ “สหรัฐ” ตลาดส่งออกเบอร์สองของกัมพูชา ปีที่ผ่านมากัมพูชาส่งออกไปสหรัฐมูลค่ารวม 2,800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่าประเด็น “การค้า” ของสองประเทศจะถูกพ่นพิษจากความขัดแย้งทางการเมือง และ “กัมพูชา” จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบและได้รับผลกระทบ แม้ระยะหลังกัมพูชาจะได้รับเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากจีน แต่อุตสาหกรรมทำรายได้และเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ยังคงเป็นการผลิตสิ่งทอและรองเท้า หากกัมพูชาต่อต้านชาติตะวันตก ก็เท่ากับว่าตัดท่อลมหายใจของตัวเองไปหนึ่งข้าง ขณะที่ตลาดส่งออกอียูก็อ่อนแอลง