รัสเซีย ยูเครน : สงครามสร้างปมบาดหมางในครอบครัวชาวรัสเซีย

อูเลียนาร่ำไห้ในขณะที่โลงศพของน้องชายกำลังถูกหย่อนลงในหลุมศพ

นักแสดงสาวชาวรัสเซียวัย 37 ปี อยู่ในงานศพของ วาเนีย น้องชายวัย 23 ปีที่เป็นทหารและเสียชีวิตในการสู้รบที่ยูเครน

“พวกเขาบอกว่าน้องตายเยี่ยงวีรบุรุษ ฉันคิดในใจว่า ‘นั่นหมายความว่ายังไง เยี่ยงวีรบุรุษ’ มันช่างไร้สาระสิ้นดี ฉันไม่อยากให้น้องชายเป็นวีรบุรุษผู้ล่วงลับ”

แต่สำหรับ บอริส พ่อของอูเลียนา ที่แม้จะเต็มไปด้วยความเศร้าโศก แต่ก็รู้สึกภาคภูมิใจที่วาเนียสละชีพในการต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ

บอริสมองว่าสงครามครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของรัสเซียกับ “รัฐบาลที่พร่ำสอนลัทธิฟาสซิสต์” ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานยูเครน เพื่อปลดปล่อยชาวยูเครนจากแนวคิดนาซี และจากรัฐบาลยูเครนที่ก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งเป็นคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานยืนยันใด ๆ

Advertisment

อูเลียนาอธิบายความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างเธอกับพ่อว่า “ก่อนจะเกิดเรื่องกับวาเนีย พวกเราไม่เคยคุยกันเรื่องสงคราม…แต่หลังจากน้องเสีย พวกเราก็ทะเลาะกันเรื่องสงครามอย่างรุนแรง”

Uliana at her brother Vanya's funeral

Anastasia Popova
อูเลียนาที่งานศพของวาเนีย

ในหนังสารคดีชุดใหม่ทางรายการ Storyville ของบีบีซีนำเสนอเรื่องราวระหว่างพ่อกับลูกสาวคู่นี้ที่ถกเถียงเรื่องสงครามในยูเครน ซึ่งเป็นบทสนทนาที่เกิดขึ้นในหลายครอบครัวของรัสเซีย

การหยั่งรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของชาวรัสเซียที่มีต่อสงครามที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากรัสเซียมีกฎหมายห้ามแสดงความคิดเห็นในเชิงที่จะสร้างความเสื่อมเสียต่อกองทัพ หรือการเรียก “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ในยูเครนว่า “สงคราม”

Advertisment

แต่ในการสำรวจความเห็นที่เผยแพร่ในเดือน พ.ย. 2022 โดยองค์กรวิจัยอิสระของรัสเซียแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกันของคนรุ่นต่าง ๆ โดยพบว่า 75% ของผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นอายุ 40 ปีขึ้นไปบอกว่าพวกเขาสนับสนุนสงครามครั้งนี้ ขณะที่คนอายุ 18-24 ปีที่สนับสนุนมีอยู่ 62%

อนาสตาเซีย โปโปวา บอกว่า นี่เป็นภาพสะท้อนสิ่งที่เธอได้พบเจอในระหว่างการเดินทางไปถ่ายทำหนังสารคดีเรื่องนี้ทั่วรัสเซีย

“ฉันได้เห็นความขัดแย้งระหว่างคนในครอบครัว ลูกส่วนใหญ่มักมีความเห็นต่อต้านสงคราม ในขณะที่พ่อแม่ ซึ่งเป็นคนในยุคสหภาพโซเวียตที่ดูโทรทัศน์ของทางการทั้งวันทั้งคืนให้การสนับสนุนการทำสงครามในยูเครน ฉันก็มีความขัดแย้งแบบเดียวกันในครอบครัว” อนาสตาเซียกล่าว พร้อมเล่าว่าพ่อของเธอก็เป็นอีกคนที่สนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของรัสเซีย

ในขณะที่คนรุ่นพ่อแม่รับฟังข่าวสารต่าง ๆ จากสื่อของทางการรัสเซีย แต่หนุ่มสาวรัสเซียอย่างอูเลียนา มักเลือกรับข่าวสารจากช่องทางอื่น เช่น ยูทิวบ์ และโซเชียมีเดีย

“ขอโทษที่ฉันไม่รู้จะบรรยายความเศร้าข้างในได้” อูเลียนากล่าว

อนาสตาเซียบอกว่า ยิ่งออกไปนอกพื้นที่เมืองใหญ่ การสนับสนุนสงครามก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอได้พบเจอกับตนเองในระหว่างการถ่ายทำงานศพของวาเนียที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากกรุงมอสโกไป 97 กม.

อูเลียนาก็รับรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน

“ตอนที่ฉันเฝ้ามองผู้คนเหล่านั้น ฉันสัมผัสได้ว่าพวกเขาเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูดออกมาจริง ๆ ว่า วาเนียตายเยี่ยงวีรบุรุษ ผู้รักชาติที่แท้จริงที่ปกป้องมาตุภูมิของเขา”

“ฉันรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เราช่วยปกป้องใครกันแน่ พวกผู้ชายของเราต้องตายไปเพื่ออะไร ฉันไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าน้องชายของฉันจะถูกนำตัวกลับมาในโลงสังกะสี” อูเลียนากล่าว

วาเนียเป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 4 คน และเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว

“เขาเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน” อูเลียนาบอก

บอกริสเล่าว่าลูกชายได้รับการศึกษาในหลายแขนง ทั้งในโรงเรียนศิลปะ โรงเรียนดนตรี และกีฬา “ผมทุ่มเททุกอย่างที่ผมเคยใฝ่ฝันให้ลูกคนนี้”

หลังย้ายออกจากบ้าน วาเนียก็เข้าเรียนด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ในกรุงมอสโก นอกจากนี้ยังทดลองด้านการแสดง ซึ่งรวมถึงที่โรงละครบอลชอยอันเลื่องชื่อ

บอริสมองว่าการเข้าสู่แวดวงการแสดงทำให้วาเนียต้องอกหักช้ำรัก หลังไปตกหลุมรักหญิงสาวที่ยังไม่อยากแต่งงาน

แต่สำหรับอูเลียนามองว่าน้องชายมีความสุขในการทำงานที่โรงละคร แต่พ่อของเธอมักโทษว่ามันคือจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่วิกฤตในชีวิตของวาเนีย

บอริสเล่าว่า ผู้คนที่โรงละครมีความคิดเชิงลบต่อรัสเซีย และมองว่าประวัติศาสตร์ชาติเป็นเรื่องไร้สาระ แต่วาเนียมีความเห็นต่างออกไป เขาจึงตัดสินใจไปเข้าร่วมกับกองทัพ

วาเนียเข้าร่วมกองทัพในฐานะทหารเกณฑ์ จากนั้นก็สมัครเข้าร่วมหน่วยนาวิกโยธินที่มีฐานทัพอยู่ในเมืองสวาสโตโปล ในไครเมีย ช่วงที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือน ก.พ.ปีก่อน

ตอนนั้น วาเนียได้รับคำสั่งให้โทรศัพท์บอกลาครอบครัว ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปสู้รบที่เมืองมาริอูโปล

อูเลียนาเล่าเหตุการณ์วันนั้นว่า “เราคุยกันอยู่นานกว่า 1 ชั่วโมง…น้องน้ำตาคลอเบ้า ฉันพูดว่า ‘วาเนียให้พี่ดูหน่อยว่าเรามีอะไรอยู่ตรงนั้น’ เขาหยิบปืนกลให้ฉันดู เหมือนเขาให้ฉันดูของเล่นในตอนเด็ก”

บอริสก็มีคลิปลูกชายที่พูดว่า “สวัสดีทุกคน ผมจะเขียนถึงเมื่อไปถึงที่นั่น กอดและจูบ”

“นี่คือถ้อยคำสุดท้ายของเขา” บอริสบอก

Vanya calling his family before leaving for the front line

Anastasia Popovaa
วาเนียโทรศัพท์หาครอบครัวก่อนออกเดินทางไปรบในเมืองมาริอูโปล

วาเนียเสียชีวิตใกล้โรงงานเหล็กอะซอฟสตาล ในเมืองมาริอูโปล เมื่อ 15 มี.ค.

ความตายของเขาทำให้มุมมองเรื่องสงครามที่ขัดแย้งกันระหว่างอูเลียนากับบอริสเด่นชัดขึ้น

บอริสบอกลูกสาวว่าเธอยังเล็กเกินไปที่จะจดจำสิ่งที่เรียกว่า “ภราดรภาพ” แห่งสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต เขาชี้ว่าการล่มสลายของมันได้ “ทำลายจิตวิญญาณของคนรุ่นหลังจำนวนมาก และฝังความเชื่อในหัวว่าคนรัสเซียคือศัตรู”

ภาษาของบอริสตอกย้ำคำพูดของประธานาธิบดีปูตินที่เรียกการล่มสลายของสหภาพโซเวียตว่า “หายนะทางภูมิรัฐศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20” ซึ่งยูเครนได้ประกาศเอกราชหลังจากโซเวียตล่มสลายในปี 1991 ได้ไม่นาน

ในหนังสารคดีเรื่องนี้ อนาสตาเซียบันทึกเหตุการณ์ที่อูเลียนาไปท่องเที่ยวในจอร์เจีย และคุยเรื่องสงครามกับเพื่อนในระหว่างการทานอาหารค่ำ

อูเลียนาพูดว่า “ฉันอยากจะเชื่อว่าน้องชายฉันไม่ได้ตายไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉันอยากสร้างความชอบธรรมให้การสูญเสียครั้งนี้…”

ที่บ้านของครอบครัวมีการตั้งหิ้งเล็ก ๆ เพื่อรำลึกถึงวาเนีย ซึ่งมีดินที่เก็บมาจากเมืองมาริอูโปลอันเป็นสถานที่ที่เขาเสียชีวิต และบางครั้งอูเลียนากับบอริสจะยืนอยู่ที่หน้าหิ้งนี้ด้วยกัน

อูเลียนาบอกว่า แม้เธอกับพ่อจะมีความเห็นแตกต่างกัน แต่เธอยังต้องการรักษาความสัมพันธ์กับเขาไว้

“ฉันไม่อาจเปิดศึกกับพ่อได้ ฉันไม่อาจพูดว่า ‘หนูเกลียดพ่อ เพราะเรามีความเห็นต่างกัน’ สิ่งที่ฉันพูดได้ก็คือ ‘พ่อคะ หนูไม่เห็นด้วย’ นี่คือสิ่งที่ฉันจะพูดได้”

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซี ไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว