ศรีลังกา : นายกฯ ศรีลังกาสั่งการให้ทหารทำทุกวิถีทางกอบกู้ความสงบเรียบร้อยกลับสู่ประเทศ

นายกรัฐมนตรี รานิล วิกรมสิงเห ของศรีลังกา ออกคำสั่งให้กองทัพดำเนินการ “ทุกวิถีทางตามความจำเป็นเพื่อนำมาซึ่งความสงบเรียบร้อย” หลังผู้ประท้วงบุกเข้าไปในสำนักงานของเขาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (13 ก.ค.)

นายวิกรมสิงเหได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีโกตาบายา ราชปักษา ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศไปก่อนหน้านี้

แต่การตัดสินใจให้เขาดำรงตำแหน่งนั้นก่อให้เกิดการประท้วงขึ้นอีก เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งไปด้วย ตามที่เคยสัญญาไว้

ศรีลังกากำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ประชาชนจำนวนมากตำหนิรัฐบาลของราชปักษาว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตนี้ และมองว่านายวิกรมสิงเห ซึ่งขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน พ.ค. เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผู้ประท้วงบุกเข้าไปในอาคารของรัฐที่มีความปลอดภัยสูง เป็นครั้งที่สองในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ และครั้งล่าสุดนี้เป็นการบุกเข้าไปในสำนักนายกรัฐมนตรี

Demonstrators gather outside the office of Sri Lanka's prime minister in Colombo, Sri Lanka

ที่มาของภาพ, Reuters

ผู้คนที่บุกเข้าไปในสำนักงานของนายกรัฐมนตรีได้นั่งพักผ่อนบนโซฟาอันนุ่มสบายและถ่ายรูป ขณะที่คนอื่น ๆ ยืนบนเก้าอี้และโต๊ะทำงานของนายกฯ พร้อมโบกธงชาติศรีลังกา

ในการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ นายวิกรมสิงเห เรียกร้องให้ผู้ประท้วงออกจากสำนักงานของเขา และอาคารของรัฐอื่น ๆ ที่ถูกยึดครอง และขอให้ร่วมมือกับทางการ

“เราไม่สามารถฉีกรัฐธรรมนูญของเราได้ เราไม่สามารถปล่อยให้พวกฟาสซิสต์เข้ายึดครองได้ เราต้องยุติการคุกคามของลัทธิฟาสซิสต์ต่อระบอบประชาธิปไตย” เขากล่าว

แต่เมื่อถูกถามว่าคำแถลงของนายกรัฐมนตรีเป็นข้อบ่งชี้ว่ากองทัพอาจเข้าควบคุมหรือไม่ ภวานิ ฟนเซกา นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนในกรุงโคลัมโบ บอกกับ รายการ World at One ของสถานีโทรทัศน์บีบีซีว่าศรีลังกา “ไม่เคยมีประวัติที่ทหารมีบทบาทอย่างแข็งขันในด้านการเมืองหรือการปกครอง ไม่เหมือนประเทศอื่น ๆ ในละแวกใกล้เคียง”

“เรามีประชาธิปไตยที่แข็งแกร่งมาก และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนในบทบาทนั้น แต่เราก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปได้” เธอกล่าวเสริม

A demonstrator in Colombo

นอกทำเนียบประธานาธิบดีศรีลังกา เทซซา หว่อง ผู้สื่อข่าวของบีบีซีรายงานว่า ทหารติดอาวุธยืนดูผู้ประท้วงเฉลิมฉลองภายในสำนักงานด้วยความชื่นชม และผู้ชุมนุมก็เพิกเฉยต่อคำเรียกร้องของนายกรัฐมนตรีให้ทุกคนต้องออกจากบริเวณสำนักนายกรัฐมนตรี

“เป้าหมายของเราคือให้โกตา รานิล และสมาชิกคณะรัฐมนตรีคนอื่น ๆ กลับบ้านไป” นิกซัน จันทรานาธาน ผู้ประท้วงที่สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกับสำนักข่าวบีบีซี “เราต้องการผู้นำที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาในการสร้างศรีลังกาให้กลับมาในตอนนี้”

“เรารู้สึกภาคภูมิใจ” สาทิช บี นักธุรกิจที่มาร่วมเยี่ยมชมสถานที่นี้หลังจากถูกผู้ชุมนุมบุก บอกกับสำนักข่าวเอเอฟพี “ไม่มีธรรมาภิบาลในประเทศนี้ มันไม่เคยดีเลย…กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ต้องการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปแบบนี้”

เหตุการณ์ความไม่สงบยังคงมีขึ้นเมื่อมีข่าวว่าประธานาธิบดีราชปักษาลี้ภัยหนีไปมัลดีฟส์แล้ว โดยช่วงการหลบหนีไปซ่อนตัว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะลาออก หลังผู้ชุมนุมบุกเข้ายึดบ้านพักประธานาธิบดีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 ก.ค.)

ผู้นำประเทศได้รับการยกเว้นจากการถูกฟ้องร้องในฐานะประธานาธิบดี โดยมีการเชื่อกันว่าเขาต้องการลี้ภัยไปต่างประเทศ ก่อนที่จะลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะถูกจับกุมโดยรัฐบาลชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม เขายังไม่ได้ยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ

Sri Lanka's President Gotabaya Rajapaksa (L) and his wife Ioma Rajapaksa in Colombo, Sri Lanka in 2020

ที่มาของภาพ, Getty Images

การออกจากตำแหน่งของประธานาธิบดีอาจเสี่ยงก่อให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจในศรีลังกา ซึ่งจำเป็นต้องมีรัฐบาลที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือประเทศให้หลุดพ้นจากหายนะทางการเงิน

นักการเมืองจากพรรคการเมืองอื่น ๆ กำลังพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่มีความเป็นเอกภาพชุดใหม่ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าใกล้จะตกลงกันได้ และยังไม่ชัดเจนว่าประชาชนจะยอมรับในสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งทำให้การเลือกผู้นำคนใหม่ก็จะมีปัญหาเช่นกัน

ในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ทีมงานของนายวิกรมสิงเหกล่าวว่า เขาได้ขอให้ประธานรัฐสภาเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน”

ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (11 ก.ค.) สาจิธ พรีมาดาสา ผู้นำฝ่ายค้านบอกกับสำนักข่าวบีบีซีว่า เขามีแนวโน้มที่ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่เช่นเดียวกับนายวิกรมสิงเห เขาขาดการสนับสนุนจากสาธารณชน นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของศรีลังกายังมีความแคลงใจอย่างมากต่อตัวนักการเมืองของประเทศนี้อีกด้วย

………

ข่าว BBCไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว