Go Digital, Get Green

Go Digital, Get Green
คอลัมน์ : ร่วมด้วยช่วยคิด
ผู้เขียน : ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์
ธนาคารแห่งประเทศไทย

เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการตั้งเป้าหมายให้กับชีวิต วลีเด็ดที่มักได้ยินเมื่อเทศกาลปีใหม่มาถึง ในช่วงเดือนแรกของปี เพื่อเตรียมรับสิ่งดี ๆ ผู้เขียนจึงอยากนำเสนอเทรนด์สำคัญของโลกที่จะเป็นโอกาสในการเริ่มต้นเป้าหมายใหม่ที่ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด และจะส่งผลดีต่อทั้งตัวคุณและโลกของเราไปพร้อมกัน

ในยุคนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในหลากหลายเทรนด์สำคัญของโลกที่กล่าวถึงบ่อยครั้ง ยังคงมีเรื่อง digital transformation หรือการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และ sustainability หรือความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้แม้จะไม่ใช่เทรนด์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่นับวันกลับยิ่งมีบทบาทเพิ่มขึ้น และผู้เขียนเชื่อว่าแก่นสำคัญของสองเรื่องนี้จะเป็นเทรนด์ที่อยู่กับเราไปอีกนาน

digital transformation หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ การปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ขั้นตอน กระบวนการต่าง ๆ โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างคุณค่าได้อย่างเต็มที่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ หรือแก้ไขปัญหาของมนุษย์ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายพื้นฐานจากแนวคิดของคำว่าเทคโนโลยีที่เราคุ้นเคย หากแต่เป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่มาในรูปแบบที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม

digital transformation ไม่ได้จะเกิดขึ้นจากการรับเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่เข้ามาใช้เพียงเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญคือ data-driven หรือการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นหลัก ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ การดำเนินงาน มากกว่าการใช้สัญชาตญาณและความรู้สึก ซึ่งหากจะทำให้สำเร็จได้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ตั้งแต่ระดับรายบุคคลที่เป็นผู้ใช้งาน หรือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล รวมไปถึงความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลและความรู้ในระดับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน

sustainability แนวคิดความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญและตระหนักถึงเพิ่มขึ้นมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง จากภาวะโลกรวน (climate change) ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยความถี่ที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกมุมโลก ตัวอย่างภัยพิบัติในปี 2565 เช่น อุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ในปากีสถาน ภัยแล้งรุนแรงในจีน ไฟป่าในยุโรป พายุฤดูหนาวถล่มแคนาดาและสหรัฐอเมริกา ทำให้ต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ผู้ประสบภัยต้องเผชิญความยากลำบากในการดำรงชีวิต จึงนำมาซึ่งความร่วมมือที่หนักแน่นมากขึ้นของประเทศมหาอำนาจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

และการใช้นวัตกรรมในการดูดกลับและกักเก็บก๊าซเรือนกระจก เพื่อไปสู่เป้าหมายการจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส จากระดับอุณหภูมิในอดีตช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตภาวะโลกรวนที่รุนแรง และผลกระทบอันเลวร้ายต่อทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

โดยตัวอย่างผลกระทบนั้น มีให้เห็นอย่างชัดเจนจากภัยพิบัติที่รุนแรงในปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกที่ระดับ 1.15 องศาเซลเซียส เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนล้วนมีส่วนทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจก ดังนั้น ความยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อมจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกคน และต้องลงมือทำอย่างจริงจัง

จากที่กล่าวมาบางท่านอาจมองว่า การจะพาธุรกิจของตัวเองไปสู่เป้าหมายใหม่ที่ต้องทำทั้ง digital transformation พร้อมกับ sustainability ดูเป็นเรื่องยากทั้งในเรื่องทักษะ ความเข้าใจ และต้องใช้ต้นทุนสูง ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่าง การเริ่มต้นปรับเปลี่ยนธุรกิจของคุณส้มซึ่งมีอาชีพเป็นแม่ค้าคนกลางขายข้าวสาร ที่มีทีมขนส่งข้าวที่รับซื้อจากเกษตรกรไปขายยังตลาดหลายแห่งกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งปกติเวลาเก็บเงินค่าข้าว คุณส้มจะตระเวนขับรถไปรับเงินสดจากพ่อค้าแม่ค้าในตลาดต่าง ๆ ที่รับข้าวของคุณส้มไปขาย หลังจากนั้นคุณส้มจะกลับมาทำบัญชีที่ออฟฟิศ และสุดท้ายจะนำเงินที่ได้ไปฝากเข้าธนาคารเพื่อปิดบัญชีในแต่ละวัน

การทำ digital transformation ในธุรกิจของคุณส้มอาจเริ่มต้นง่าย ๆ เพียงเรียนรู้การใช้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล โดยใช้ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-payment) เช่น พร้อมเพย์ (PromptPay) และ Standard Thai QR Code ซึ่งเป็นช่องทางที่ปลอดภัยและมีความสะดวก เนื่องจากสามารถทำธุรกรรมการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดชำระค่าข้าวผ่านระบบ ทำให้คุณส้มสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปยังตลาดและธนาคาร ซึ่งลดการเดินทางยังตอบโจทย์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนับสนุนให้เกิดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อม ๆ กันด้วย

ขณะเดียวกัน คุณส้มก็มีเวลาเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสให้สามารถนำเวลาและเงินทุนไปใช้กับการคิดค้น สร้างมูลค่าเพิ่ม ในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ และข้อมูลที่ถูกบันทึกในระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ยังช่วยให้การทำสรุปบัญชีมีความถูกต้องและรวดเร็ว ส่งผลให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และหากนำมาวิเคราะห์จะช่วยให้รู้จักลูกค้า เข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจการค้า เช่น ลูกค้าสั่งซื้อข้าวเปลี่ยนไปจากเดิม โดยสั่งซื้อข้าวแนวอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลดังกล่าวจึงคาดว่าลูกค้าอาจเน้นขายข้าวให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสุขภาพ และพอมีกำลังทรัพย์ในการซื้อสินค้ามากขึ้น การเพิ่มยอดขายอาจจะทำได้โดยการนำเสนอกลุ่มข้าวอินทรีย์ให้มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งเรื่องสายพันธุ์ หรือคุณภาพของข้าวเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ที่อยากชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวด้วยการทำ digital transformation ควบคู่ไปกับการตระหนักถึง sustainability อาจจะไม่ยากอย่างที่คิด อย่างไรก็ดี ในบางธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างแล้วนั้น อาจมีความท้าทายมากขึ้น ก่อนหน้านี้อาจเคยได้ยินแนวคิด Go Lean, Get Green กระบวนการทำงานโดยจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความสูญเปล่า ซึ่งนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมให้เกิดความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แต่ยุคนี้อาจพูดได้ว่า Go Digital, Get Green การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสู่ชีวิตและกระบวนการทำงาน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น สร้างโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ และนำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมในอนาคต