คอลัมน์ สามัญสำนึก โดย พัฒนพันธุ์ วงษ์พันธุ์
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ส่งสัญญาณชัดเจนว่าหลังหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จำเป็นต้องเฟ้นหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกันอีกรอบ
ก่อนหน้านี้มีเสียงเป็นห่วงจากทีมเศรษฐกิจเป็นระยะ ๆ ถึงภาวะจับจ่ายที่ชะลอตัว เนื่องจากกังวลกับเศรษฐกิจในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
ในแง่เศรษฐกิจโลกเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ประมาทไม่ได้
โดยเฉพาะเสียงย้ำเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ เพิ่งประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก จากเดิมปีนี้ที่คิดว่าจะอยู่แถว ๆ 3.5% ลดลงเหลือ 3.3% อย่างไรก็ตาม ไอเอ็มเอฟมองว่าปีหน้าการขยายตัวจะปรับเพิ่มเป็น 3.6% เท่ากับปี 2561 ที่ผ่านมา
ไอเอ็มเอฟระบุว่า ความกังวลเนื่องจากสงครามการค้าส่งผลถึงการลงทุนในอนาคต ห่วงโซ่อุปทาน ประสิทธิภาพการผลิต และการทำกำไรของภาคเอกชน ทั้งหมดนี้กระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงิน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
หลัก ๆ คือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐที่ตีรวนประเทศอื่น ๆ และการตั้งกำแพงภาษีไปทั่ว ทำให้ทั้งต้นทุนการผลิตสินค้า และราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คนค้า ๆ ขาย ๆ บ้านเราเห็นสัญญาณที่ว่า
ทุกครั้งที่เศรษฐกิจโลกเริ่มจะแกว่ง ๆ เงินในกระเป๋าผู้ซื้อลดลง ย่อมส่งผลโดยตรงถึงออร์เดอร์สั่งซื้อสินค้าอย่างหลีกลี่ยงไม่ได้
ในเมื่อประเทศของเราพึ่งพาการส่งออกกว่าครึ่งค่อน เพราะฉะนั้น เราเดือดร้อนทุกครั้งที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา
ล่าสุดภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออกโดยตรง ปรับเป้าหมายส่งออกสำหรับปี 2562 ใหม่อีกครั้ง หลังจากพบว่าการส่งออกในไตรมาส 2 อาจไม่มีอัตราการเติบโตใด ๆ จากที่เคยตั้งเป้าไว้ทั้งปี น่าจะเติบโตได้ 5% หดตัวเหลือทั้งปีโตแค่ 3%
หายไปถึง 2%
ภาคธุรกิจที่ว่านี้ประกอบด้วยสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ซึ่งมีสมาชิกคือบรรดายักษ์ใหญ่ในแวดวงธุรกิจของไทย
สาเหตุอย่างที่เรารู้ ๆ กันดี ยิ่งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยืดเยื้อเท่าไหร่ ไทยเราก็ยิ่งได้รับผลกระทบเท่านั้น
เพราะตลาดส่งออกสำคัญโดยเฉพาะวัตถุดิบของไทยก็คือ จีน สงครามการค้าที่ว่านี้มีโอกาสขยายวงสู่ประเทศในกลุ่มอียู
รวมไปถึงการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่คาราคาซังไม่ยอมจบ เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง
ผู้ส่งออกไทยยังเหน็ดเหนื่อยจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้โอกาสในการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดโลกทำได้ยากขึ้น
แต่ละเรื่องล้วนเหนือการควบคุม
ที่น่าปวดหัวเป็นที่สุดสำหรับคนค้าขายในยุคนี้ยังมาจากการเมืองบ้านเราอยู่ในภาวะสุญญากาศ เป็นรอยต่อระหว่างรัฐบาลเก่ากับรัฐบาลใหม่ ไม่มีใครชี้ชัดได้ว่าฝ่ายไหนจะครองเสียงข้างมากในสภา และใครกันที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
“ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลทำให้การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เกี่ยวกับการส่งออก การเจรจาทางการค้าต่าง ๆ เกิดความล่าช้า” คือเสียงของผู้เกี่ยวข้องจากการส่งออก
ปัญหาคือ ไม่มีใครรู้ด้วยว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่รัฐบาลใหม่จะได้เข้ามาแสดงฝีมือ
แน่นอนว่าผลสืบเนื่องจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาที่หมักหมมในประเทศไทยเอง ย่อมไม่ใช่ข่าวที่ดีนักสำหรับคนที่จะเข้ามารับช่วงเป็นรัฐบาล
ไม่รวมถึงว่าโอกาสในการได้รัฐบาลใหม่ที่เสียงปริ่มน้ำ และมีผลถึงเสถียรภาพทางการเมืองมีอยู่สูงมาก
สำหรับภาคธุรกิจ นาทีนี้ตั้งการ์ดให้รัดกุมเข้าไว้จึงน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat
หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!