18 ม.ค. 2561 ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนเเก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2561 “Re-design Thailand ทำอย่างไรให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน”
โดยดร.เกียรติอนันต์ กล่าวในหัวข้อ “ช่องว่างทักษะกับนัยยะที่มีต่อการพัฒนากำลังคนของประเทศไทย” ว่า การเตรียมตัวก้าวสู่ไทยเเลนด์ 4.0 มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสำคัญกับ “คน” ทั้งส่วนการพัฒนาทักษะในตลาดเเรงงานเเละคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งจะเป็นผู้กำหนดชะตาประเทศในอนาคต
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
ข้อมูลจาก Human Capital Report 2016 จัดทำโดย World Economic Forum เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนของแรงงานฝีมือมีเพียง 14.4% ของกำลังแรงงานทั้งหมด ในขณะที่ประเทศสวีเดน เยอรมนี สิงคโปร์ และฟินแลนด์ ซึ่งมีความพร้อมในการเข้าสู่ยุค 4.0 มากกว่าประเทศไทย มีสัดส่วนแรงงานฝีมืออยู่ระหว่าง 43% ถึง 55%
ถ้านำตัวเลขของ 4 ประเทศมาเฉลี่ยจะพบว่าสัดส่วนแรงงานฝีมือมีค่าประมาณ 48% นั่นหมายความว่า ในเชิงปริมาณ เรายังต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีกถึง 33.6% จึงต้องมีการยกระดับทักษะของแรงงานไทยอีกไม่น้อย 12.81 ล้านคน จากแรงงานทั้งหมด 38 ล้านคนให้กลายเป็นแรงงานฝีมือ
“นอกเหนือจากเพิ่มจำนวนแรงงานฝีมือให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดแรงงานแล้ว อีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกัน คือ ปัญหาช่องว่างของทักษะ (Skill Gap) ซึ่งหมายถึง การที่แรงงานมีทักษะในการทำงานน้อยกว่าที่นายจ้างคาดหวัง หรือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน” ดร.เกียรติอนันต์ ระบุ
สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้ ได้ใช้ข้อมูลการสำรวจความต้องการแรงงานและการขาดแคลนแรงงานของสถานประกอบการจำนวน 17,582 แห่ง ที่ทางกระทรวงแรงงานได้ทำการสำรวจไว้เมื่อปี 2559 มาสร้างดัชนีช่องว่างทักษะ โดยพบว่า อุตสาหกรรมที่ประสบปัญหาช่องว่างทักษะรุนแรงกว่าภาพรวมของประเทศส่วนหนึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลเลือกมาให้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 เช่น อิเล็กทรอนิกส์ การขนส่ง การผลิตลิตภัณฑ์อาหาร การผลิตยานยนต์ เเละซอฟต์เเวร์ เป็นต้น
“ช่องว่างทักษะที่มีความรุนแรงมากที่สุด คือ ความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ ความมีวินัยในการทำงาน และความสามารถในการนำเอาความรู้ที่เรียนมาไปใช้ในการทำงานจริง”
ขณะที่มีประเด็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งจังหวัดมีการพัฒนามากขึ้น ปัญหาช่องว่างทักษะเเรงงานก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าแรงงานไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นได้ เเละหากเป็นทักษะเกี่ยวกับการติดต่อต่างประเทศ ใช้ทักษะเฉพาะทางยิ่งทวีความรุนเเรงขึ้น
สำหรับเเนวทางการพัฒนาเเรงงานในประเทศไทย ในช่วง10ปี ข้างหน้า ดร.เกียรติอนันต์เสนอว่า ต้องเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศน์ที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาทักษะของแรงงาน (Skill Development Ecosystem) ซึ่งหัวใจสำคัญของระบบนิเวศน์นี้ คือ โมเดล 3 ประสาน ที่เกิดจากการร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยรัฐต้องทำหน้าที่ประสานงานดึงเอาภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามาร่วมกันคิดว่าต้องยกระดับหรือเพิ่มทักษะใดบ้าง
โดยแต่ละอุตสาหกรรมจะต้องมีคณะที่ปรึกษาซึ่งมาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนั้น ช่วยกันประเมินว่า แรงงานในแต่ละระดับ แต่ละตำแหน่งงานของอุตสาหกรรมนั้น ต้องพัฒนาทักษะอะไรบ้าง แนวทางไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เเละต้องพิจารณาลักษณะเฉพาะในเชิงพื้นที่ควบคู่กันไป
ขณะเดียวกันเเรงงานก็ต้องพัฒนาทักษะของตัวเองให้ก้าวทันยุคเเละปรับตัวเพื่อรองรับตำแหน่งงานในสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตด้วย