นับจากโครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” เกิดขึ้นเมื่อกลางปี 2563 จนถึงขณะนี้ต้องยอมรับว่า โครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีเครือข่ายพันธมิตรจากภาครัฐและบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
จนทำให้ผืนป่าชุมชนที่เคยแห้งแล้งกลับคืนอุดมสมบูรณ์เขียวขจีอีกครั้งหนึ่ง
- มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล เปิดชื่อผู้ถือหุ้น-ผลประกอบการ
- เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท เดือนพฤษภาคม 2567 เงินเข้าวันไหน เช็กที่นี่
- 10 พฤษภาคม 2567 ขึ้นทางด่วนฟรี 60 ด่าน
สร้างสมดุลใน 3 มิติ
ทั้งนั้นเพราะตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต้องการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจที่จะต้องสร้างสมดุลใน 3 มิติ คือเศรษฐกิจ, สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลัก ESG อันประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม (Environment), สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนในอนาคต
สำหรับครั้งนี้ก็เช่นกัน โครงการ Care the Wild “ปลูกป้อง Plant & Protect” โดยตลาดหลักทรัพย์ฯร่วมมือกับ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BAM” และ กรมป่าไม้ ร่วมกันปลูกต้นไม้ 4,000 ต้น บนพื้นที่ 20 ไร่ ณ ป่าชุมชนบ้านโคกพลวง ต.หินโคลน อ.จักราช จ.นครราชสีมา
ชูแนวคิด “ปลูก ปกป้อง”
“อำนวย จิรมหาโภคา” ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ Care the Wild ภายใต้แนวคิด “ปลูก ปกป้อง” หรือ “Plant & Protect” เป็นการระดมทุนเพื่อการปลูกต้นไม้ และร่วมดูแลต้นไม้ให้เติบโตจนเป็นผืนป่า ด้วยการสร้างระบบธรรมาภิบาลในการปกป้องไม้ที่ปลูกเป็นเวลา 10 ปี ด้วยอัตราการรอดตาย 100% ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้นทางอย่างยั่งยืน
“โดยปี 2565 โครงการมีกิจกรรมปลูกต้นไม้ให้ได้ผืนป่าบนพื้นที่ 10 ไร่ ด้วยการร่วมมือกับชุมชนเข็มแข็งดูแลป่าชุมชนบ้านโคกพลวง ต.หินโคน อ.จักราช จ.นครราชสีมา แห่งนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรภาคเอกชน บมจ.ศุภาลัย และปี 2566 เป็นที่น่ายินดีที่ บมจ.ศุภาลัยสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ด้วยการปลูกเพิ่มอีก 10 ไร่
รวมแล้ว บมจ.ศุภาลัยปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้น 4,000 ต้น บนพื้นที่ทั้งหมด 20 ไร่ นอกจากนั้นยังมีบริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BAM” มาร่วมปลูกป่าด้วยจำนวน 2,000 ต้น บนพื้นที่ 10 ไร่เช่นกัน”
ดังนั้นตลอดปี 2566 ภาคเอกชนจะเข้าร่วมสนับสนุนการปลูกต้นไม้ตลอดฤดูปลูกเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 45 ไร่ ณ บริเวณแปลงปลูกเดิม จึงทำให้ตลอด 2 ปีของการปลูกต้นไม้อย่างต่อเนื่องน่าจะมีต้นไม้ที่ปลูกทั้งหมด 11,000 ต้น บนพื้นที่ปลูกทั้งหมด 55 ไร่ ที่ไม่เพียงจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกถึง 99,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี
หากยังเป็นการเพิ่มต้นไม้ให้ผืนป่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศที่เสื่อมโทรม ด้วยการสร้างทัศนียภาพที่ร่มรื่นในอนาคต รวมถึงการเป็นแหล่งอาหารของชุมชนอย่างยั่งยืนอีกด้วย
แก้ปัญหาภาวะโลกร้อน”
“นันทนา บุณยานันต์” ผู้อำนวยการสำนักจัดการป่าชุมชน และรองอธิบดีกรมป่าไม้กล่าวเสริมว่า พื้นที่แห่งนี้เดิมทีไม่ได้อยู่ในการดูแลของกรมป่าไม้ ดิฉันต้องขอขอบคุณพี่น้องบ้านโคกพลวงที่มีจิตใจรักป่า แล้วขีดวงพื้นที่ตรงนี้ให้กลายเป็นป่าชุมชน พอเป็นป่าชุมชนแล้วเข้ามาอยู่ในกรมป่าไม้จะมีพระราชบัญญัติให้เขาได้มีสิทธิ และหน้าที่ดูแลปกป้อง และฟื้นฟู
“การต่อสู้ที่จะเอาพื้นที่คืนมาเป็นพื้นที่ส่วนรวมจนเป็นป่าชุมชนไม่ใช่เรื่องง่าย แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะปกป้องผืนป่าเพื่อให้ป่าแห่งนี้ส่งต่อประโยชน์ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน แต่อย่างไรก็ตาม ในวันนี้มีภาคธุรกิจเข้ามาช่วย เข้ามาเติมเต็มศักยภาพของพี่น้องประชาชนที่นี่
เพราะเขาตั้งใจอนุรักษ์ต่อสู้ฟื้นฟูผืนป่ากลับมาเป็นผืนป่าสีเขียวอีกครั้ง ดังนั้นโครงการ Care the Wild จึงเป็นต้นแบบให้เห็นว่าถ้าเราตั้งใจจริง การปลูกต้นไม้คนละต้นสามารถสร้างผืนป่าที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน และจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน”
“ไม่ใช่ว่า 10 ไร่ไม่มีค่า จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึง 210 ไร่ พื้นที่ป่าที่เขามีอยู่ และถ้ามาคำนวณ carbon stock ที่มีคาร์บอนกักเก็บต้นไม้ไว้ในป่าจะมีอยู่ประมาณ 1,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ แต่พื้นที่อีก 250 ไร่ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะเชิญชวนมาปลูกเพิ่มขึ้น
คาดว่าจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ในแต่ละปี รวมแล้วน่าจะได้ประมาณ 4,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่าภายใน 10 ปี ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าวันนี้เป็นก้าวสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่”
ปลูกต้นไม้ ต้องเริ่มจากวันนี้
“ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดั่งที่ทุกคนทราบ ปีนี้ร้อนมาก ๆ ร้อนที่สุดเท่าที่ผมจำได้เลย เพราะภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น จนเกิดเป็นคำถามว่า เราจะทำอย่างไรที่จะให้รุ่นลูกรุ่นหลานสามารถมีโลกเหมือนที่เราสัมผัสเมื่อ 10-20 ปีก่อน ในยุคที่อากาศยังดีอยู่ได้
ผมคิดว่าต้องเริ่มจากวันนี้ และในการที่พวกเราทุกคนกลับมาปลูกต้นไม้เพื่อให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้รุ่นถัด ๆ ไปยังคงใช้ได้อยู่ นับเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
“ผมอยากร่วมปลูกป่าอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดี เราเคยปลูกมาหลายที่ แต่หลายครั้งเราย้อนกลับไปดูพบว่าพื้นที่เหล่านั้นกลับรกร้าง และหายไปบางส่วน เพราะขาดการดูแลจัดการที่ดี แต่สำหรับกิจกรรม Care the Wild เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ เพราะมีคนดูแลต่อ ตอนแรกนึกไม่ออกว่าป่าจะอุดมสมบูรณ์เติบโตได้อย่างไร และจะเกิดประโยชน์จริง ๆ อย่างไร
แต่พอมาลงพื้นที่ก็เข้าใจทันที ผมจึงหวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งที่จะไปสู่เป้าหมายความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต พร้อมกับขอฝากคุณชาตรี เพชรนอก ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 (ประธานกรรมการป่าชุมชนบ้านโคกพลวง) ช่วยดูแลด้วย”
“เพราะป่าไม้เป็นพื้นฐานสำคัญในการอยู่ต่อไปของโลกเรา นอกจากการปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียวแล้ว การที่เราช่วยปลูกป่าไม้จะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และหวังว่าโลกใบนี้จะกลับมาดีขึ้น อย่างบริษัทเราเองก็มีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ 25% ในเวลา 3 ปีอยู่แล้ว
นอกเหนือจากการใช้โซลาร์เซลล์มากขึ้น การใช้น้ำมันและการใช้กระดาษให้น้อยลง ดังนั้นการปลูกป่าจึงเป็นส่วนเสริมที่ทำให้สภาพแวดล้อมของชุมชนดีขึ้น”
“บัณฑิต อนันตมงคล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ “BAM” กล่าวว่า BAM มี 24 สาขาอยู่ทั่วประเทศ ที่ดินส่วนหนึ่งเป็นทรัพย์ที่เสื่อมโทรม เพราะหน้าดินถูกฝนซัด จนความชุ่มชื้นบริเวณหน้าดินหายไป ฉะนั้นผมจึงมีแนวคิดว่า ถ้าเรามีที่ดินที่รกร้างว่างเปล่า แล้วยังขายไม่ได้ ก็ควรจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง
ตรงนี้จึงเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่เราร่วมมือกับชุมชน เพื่อให้พวกเขาเข้ามาปลูกต้นไม้ และมาใช้ประโยชน์ในช่วงเวลาที่เรายังขายที่ไม่ได้ เพราะชุมชนเองจะได้ประโยชน์ ขณะที่เราเองก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน เพราะที่ดินไม่เสื่อมโทรม แถมต้นไม้ก็โต และช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ไปได้เยอะ
กอปรกับสมัยก่อนผมเป็นผู้จัดการกองทุน จึงทราบว่าตลาดหลักทรัพย์ฯมีโครงการเหล่านี้เป็นจำนวนมาก และตลาดหลักทรัพย์ฯเองก็พยายามที่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนมีกิจกรรม ESG อยู่แล้ว ตั้งแต่เขาจะฮิตกัน ซึ่งผมเองก็มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ หลายครั้ง
“บัณฑิต” กล่าวต่อว่า สมัยก่อนเราไปปลูกป่า เราเลือกต้นไม้กันเอง แต่กิจกรรมครั้งนี้ชุมชนเป็นฝ่ายเลือกต้นไม้ให้เราปลูก ดังนั้นพวกเขาจะรู้ว่าต้นไม้ชนิดไหนจะเกิดประโยชน์กับเขา และชุมชนของเขาโดยตรง ตรงนี้จึงทำให้เขารู้สึกหวงแหนต้นไม้
เพราะเขาเป็นคนเลือกต้นไม้เอง เขาจึงต้องดูแลกันเอง เพราะเขาจะได้ประโยชน์จากต้นไม้เหล่านั้น จึงทำให้ต้นไม้มีโอกาสตายน้อยลง ผมว่าแนวคิดนี้เป็นไอเดียที่ดีมากในการปลูกป่าที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
“ภาพรวมบรรยากาศวันนี้ ผมรู้สึกแปลกใจมาก เพราะเห็นต้นไม้แปลงอื่น ๆ ที่ใช้ระยะเวลาเพียง 4-5 ปี แต่ต้นไม้กลับสูงถึง 10 เมตร ผมคิดว่าถ้าพวกเขาปลูกแบบไม่ดูแล ต้นไม้ไม่มีทางโตถึงเท่านี้ แสดงว่าผู้คนในชุมชนค่อนข้างใส่ใจและดูแลต้นไม้อย่างดี ยิ่งมาผนวกกับแนวคิดปลูกรอด 100% ยิ่งเป็นเรื่องดีที่จะช่วยการันตีความรอดของป่าในครั้งนี้”
นับเป็นโครงการที่ดีที่ช่วยสร้างผืนป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง