“LPC” บริษัทในเครือ LPN ได้รับการรับรองเป็นกิจการเพื่อสังคม

“โอภาส ศรีพยัคฆ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (จำกัด) มหาชน หรือ LPN เปิดเผยว่า กว่า 30 ปีของการดำเนินธุรกิจของ LPN มีแนวคิดในแนวทางที่สอดคล้องกับกิจการเพื่อสังคมมาโดยตลอด เนื่องจากบริษัทเป็นทั้งผู้พัฒนาอาคารชุดพักอาศัยภายใต้แบรนด์ “ลุมพินี” และให้บริการหลังการขายคือการรับบริหารชุมชน ซึ่งรวมถึงการบริการด้านความสะอาดด้วย

โอภาส ศรีพยัคฆ์

“บริษัทได้มีโอกาสสัมผัส และรับรู้ถึงชีวิตของพนักงานบริการความสะอาดว่าส่วนใหญ่เป็นสตรีด้อยโอกาสในสังคม จึงมีนโยบายที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับพนักงานกลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป”

อีกทั้งเป็นที่มาของการจัดตั้งบริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC) ในปี 2554 ซึ่งเมื่อภาครัฐมีแนวทางชัดเจนในการสนับสนุนให้เกิดกิจการเพื่อสังคม ทาง LPC จึงยื่นขอรับการรับรอง

“ถือเป็นความภาคภูมิใจของ LPN ที่ได้เป็น 1 ใน 15 สถานประกอบการ และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มีบริษัทในเครือได้รับการรับรองเป็นกิจการเพื่อสังคม จากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ และขอขอบคุณคณะกรรมการเจ้าของร่วมทุกโครงการที่ใช้บริการของ LPC ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างยั่งยืนร่วมกัน”

“สุรัสวดี ซื่อวาจา” กรรมการผู้จัดการบริษัท LPC ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน LPC มีพนักงานประมาณ 1,900 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีด้อยโอกาสอันเกิดจากมีการศึกษาน้อย มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวเพียงคนเดียว ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการจ้างงาน เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้พิการ

สุรัสวดี ซื่อวาจา

“LPC มีแนวทางชัดเจนในการดำเนินการด้าน CSR in Process ใน 2 มิติ คือ ด้านสิ่งแวดล้อม ที่รวมถึงงานบริการความสะอาดและการบริหารขยะในชุมชน และด้านสังคม ที่มุ่งพัฒนา สร้างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต และศักดิ์ศรีของสตรีและผู้ด้อยโอกาส ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ทั้งกับตัวพนักงานและบุตรของพนักงาน การส่งเสริมวิชาชีพ เพื่อเป็นอาชีพติดตัวในกรณีที่ออกจากการเป็นพนักงานหรือเกษียณอายุในอนาคต”

นอกจากนี้ ได้ส่งเสริมและสร้างความสุขให้กับพนักงาน เช่น การจัดเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยเพื่อปลดหนี้นอกระบบ โครงการรักการออมการสร้างโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน โดยพนักงานสามารถพัฒนาไปสู่อาชีพอื่นๆ ในบริษัทได้ หรือพนักงานที่อายุครบ 60 ปีแล้ว บริษัทก็เปิดโอกาสให้สามารถทำงานต่อได้

“ทั้งหมดนี้ช่วยให้พนักงานรู้สึกถึงคุณค่าในตนเอง มีความภูมิใจที่สามารถสร้างรายได้เพื่อดูแลครอบครัวของตนเอง และพร้อมจะส่งต่อความดีกลับคืนสู่สังคม โดยปัจจุบัน พนักงานกลุ่มนี้ได้มีการรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมจิตอาสาให้กับพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ วัด ชุมชนรอบข้าง สถานีตำรวจ ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีการทำกิจกรรมจิตอาสารวมกว่า 2,100 ครั้ง รวมถึงการทำความดีในรูปแบบต่างๆ”

“เราเชื่อว่าเมื่อเรามอบสิ่งดีๆ ให้กับใคร เขาจะรับรู้และส่งต่อพลังความดีนั้นออกไป การที่เราได้ดูแลสตรีด้อยโอกาสกลุ่มนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้เห็นเขาจับมือกันทำประโยชน์เพื่อสังคม จึงเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้สร้างกำลังสำคัญเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่งที่จะสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคม”