80 ปี ล็อกซเล่ย์ ก้าวไปด้วยกันเดิน-วิ่ง 8 หมื่นโล

คอลัมน์ CSR Talk

 

“สวัสดิการที่ดีที่สุด คือ การทำให้พนักงานมีความสุขทั้งกายและใจ”

คำพูดดังกล่าวเบื้องต้น คือ แนวคิดที่ผู้บริหารล็อกซเล่ย์ยึดถือเป็นนโยบายหลักในการดูแลพนักงานมาตลอด 80 ปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นที่มาของกิจกรรม “ก้าวไปด้วยกัน เดิน-วิ่ง 80,000 กิโล” เป้าหมายเพื่อมอบเงินบริจาคให้กับโรงพยาบาลศิริราช ควบคู่กับการหยิบยื่นสุขภาพดี ๆ ให้กับพนักงานล็อกซเล่ย์ทุกคน

“จรัสพงศ์ ล่ำซำ” ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรและชุมชนสัมพันธ์ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ปีนี้ล็อกซเล่ย์มีอายุครบ 80 ปี จึงอยากจะจัดกิจกรรมพิเศษที่ทุกคนในองค์กรสามารถมีส่วนร่วมได้ และต้องเป็นสิ่งที่ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกัน นั่นจึงเป็นที่มาของกิจกรรม “ก้าวไปด้วยกัน เดิน-วิ่ง 80,000 กิโล”

“ซึ่งคนในองค์กรทั้งหมดได้ทำภารกิจที่มีเป้าหมายเดียวกันผ่านกิจกรรมที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ รวมถึงนักกีฬาคนพิการที่อยู่ในสังกัดล็อกซเล่ย์ และ ASM (บริษัท รักษาความปลอดภัย เอเอสเอ็ม แมเนจเมนท์ จำกัด) โดยกติกาคือทุกคนสามารถไปเดิน-วิ่งที่ไหน

เมื่อไหร่ก็ได้ รวมถึงชักชวนครอบครัวของตนเองมาวิ่งด้วยก็ได้ หลังจากนั้นให้นำระยะทางเดิน-วิ่งมากรอกในระบบที่ทีมงานจัดเตรียมไว้”

“โดยกำหนดเป้าหมายในการเดิน-วิ่งสะสมระยะทางให้ครบ 80,000 กิโลเมตร ภายในระยะเวลา 44 วัน ระหว่างวันที่ 27 เมษายน-9 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา หากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันไปถึง เป้าหมาย ล็อกซเล่ย์จะบริจาคเงินจำนวน 200,000 บาท ให้กับโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา ซึ่งเป็นอาคารหลังสุดท้ายที่ในหลวง ร.9 พระราชทานนามไว้”

“เป็นที่น่าภูมิใจที่ชาวล็อกซเล่ย์ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เดิน-วิ่งสะสมระยะทางได้เกินเป้าหมาย จนทะลุไปถึง 206,454.4 กม. บริษัทจึงเพิ่มเงินบริจาคเป็น 300,000 บาท และได้ทำการมอบให้กับทางโรงพยาบาลศิริราชไปเรียบร้อยแล้ว โดยมี ศ.นพ.ประสิทธ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้”

“จรัสพงศ์” บอกว่า กว่าจะมาถึงสองแสนกิโลเมตรในวันแรกที่เปิดตัวโครงการ และโปรโมตออกไปในหมู่พนักงาน ผ่านคลิปวิดีโอ โซเชียลมีเดีย และป้ายประกาศต่าง ๆ ทุกช่องทาง รวมถึงใช้การสื่อสารกันภายในทีมผ่านหัวหน้างาน แต่พบว่าในช่วงสัปดาห์แรก ระยะทางสะสมเพิ่มขึ้นช้ามาก ทำให้ทีมงานต้องกลับมานั่งวางแผนกันว่าจะทำอย่างไรให้พนักงานร่วมมือกันมากขึ้น

“เราจึงได้กลยุทธ์กำหนดเป้าหมายย่อยร่วมกัน โดยแบ่งสัดส่วนตามกลุ่มธุรกิจ และให้หัวหน้ากลุ่มนำทีมลูกน้องของตนเอง นอกจากจะช่วยให้ระยะทางสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เรายังเห็นวิธีการบริหารทีมของหัวหน้างานในรูปแบบต่าง ๆ อีกด้วย อาทิ คุณธงชัย ล่ำซำ ประธานกรรมการบริษัท ใช้วิธีลงมือทำเป็นตัวอย่างให้พนักงาน โดยส่งระยะทางเดินให้ทีมทุกวัน วันละ 5 กม.,

คุณศักดิ์ณรงค์ แสงสง่าพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดูแลสายธุรกิจไอที ใช้กลยุทธ์กระตุ้นพนักงานทุกวันผ่านอีเมล์ตามสไตล์คนไอที ขณะที่คุณนิมิตร ประเสริฐสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดูแลสายธุรกิจพลังงาน เน้นที่การพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับพนักงาน ปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาเริ่มต้นออกกำลังกาย และทำบุญไปในตัว”

“ผู้บริหารอีกส่วนหนึ่งใช้กลยุทธ์คลุกวงในแบบวิ่งด้วยกันสนุกกว่า เช่น ดร.สมภพ เจริญกุล รองประธานกรรมการบริหาร ใช้วิธีชักชวนลูกน้องไปเดิน-วิ่งพร้อมกันทีละหลายสิบคน ทุกเย็นวันศุกร์ที่สวนเบญจกิติ ซึ่งอยู่ใกล้ตึกล็อกซเล่ย์ ทำให้ช่วยทีมสะสมระยะทางได้ครั้งละเป็นร้อยกิโลเมตร และแต่ละครั้งก็ไม่ชวนไปวิ่งเปล่า ๆ ยังใจดีนำแซนด์วิชไปแจกจ่ายให้นักวิ่งหลังจากออกกำลังกายอีกด้วย เช่นเดียวกับ คุณกาญจน์ ทองใหญ่ รองกรรรมการผู้จัดการใหญ่ และเป็นบิ๊กบอสของบริษัท ASM ที่มีพนักงานหลายพันคน ก็ใช้วิธีชักชวนลูกน้องที่ประจำอยู่สนามบินสุวรรณภูมิ ไปวิ่งด้วยกันที่สกายเลนสุวรรณภูมิ ออกวิ่งแต่ละครั้งมีคนร่วมอย่างน้อย 80 คน ช่วยเก็บระยะทางสะสมได้เป็นกอบเป็นกำ เรียกว่าได้ทั้งสุขภาพและความสนุก”

ถึงตรงนี้ “จรัสพงศ์” กล่าวถึงความสำเร็จที่ยั่งยืนบอกว่า กิจกรรมก้าวไปด้วยกันฯทำให้พนักงานหลาย ๆ คนที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง เริ่มเดิน-วิ่งกับเพื่อนร่วมงาน บางแผนกบางฝ่ายนัดรวมตัวกันไปเป็นทีม ถึงขนาดทำเสื้อทีมขึ้นมาเองก็มี กลายเป็นบรรยากาศน่ารัก ๆ เกิดมิตรภาพที่ดีในสังคมที่ทำงาน คนต่างฝ่ายต่างแผนกได้มาเจอกัน พูดคุยถึงเป้าหมายร่วมกัน

“ตัวอย่าง เช่น ฝ่ายบัญชีการเงิน ที่นั่งทำงานอยู่กับตัวเลขทั้งวัน ก็ลุกขึ้นมาวิ่งเพื่อให้ทีมไปถึงเป้าหมายและอยากทำบุญ บางคนป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน ซึ่งคิดว่าวิ่งไม่ไหวแน่ ๆ ก็ก้าวข้ามข้อจำกัดมาได้ ทำให้สุขภาพดีขึ้น นับเป็นโครงการที่กระตุ้นให้ทุกคนตื่นตัวออกกำลังกายได้อย่างได้ผล จนทำให้กิจกรรมก้าวไปด้วยกันฯ ฉีกกฎการออกกำลังกายเดิม ๆ เพราะทำได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังชวนครอบครัวมาเดิน-วิ่งร่วมกันสะสมระยะทางได้ด้วย”

อันเป็นเรื่องที่น่าดีใจที่กิจกรรมนี้ช่วยเปลี่ยนคนให้หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น แม้ว่ากิจกรรมจะจบไปแล้ว แต่หลายคนยังคงออกกำลังกายต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความสำเร็จที่ไม่อาจตีเป็นมูลค่าได้