ประกันสังคมยันขยายอายุรับเงินชราภาพ 60 ปี ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

ประกันสังคมปฏิรูประบบกองทุนชราภาพเพื่อเพิ่มเสถียรภาพในอนาคต การขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญเป็น 60 ปี ผ่านการประชาพิจารณ์แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงจะค่อยเป็นค่อยไป

วันที่ 22 ธันวาคม 2564 นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงการเสนอการข่าวของสื่อออนไลน์ จากนักวิจัยเขียนวิเคราะห์ เตือนกองทุนประกันสังคมจะมีปัญหาความยั่งยืนที่ชัดเจนภายใน 10 ปี หากไม่มีการดำเนินการนโยบายใด ๆ โดยเฉพาะกองทุนชราภาพจะมีปัญหาที่สูงที่สุด และเสนอแนะทางแก้ไขเชิงนโยบายให้ สปส.ปรับเพิ่มหรือยกเลิกเพดานค่าจ้างสูงสุด ปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบ รวมทั้งขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ซึ่งในเรื่องดังกล่าว สปส.ได้เล็งเห็นสภาพปัญหาที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคต พร้อมทราบดีถึงสถานการณ์ดังกล่าว และเป็นผู้ประเมินสถานะกองทุนร่วมกับงานวิจัยหลาย ๆ ฉบับที่ข่าวอ้างถึง โดย สปส.มีนโยบายปฏิรูปตามข้อเสนอแนะของผู้เขียนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2559

ทั้งนี้ การดำเนินการจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปและทำในช่วงสถานะการเศรษฐกิจที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี สำหรับความคืบหน้าในส่วนการแก้ไขกฎหมาย ได้แก่

1) สำหรับการปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างในลำดับแรก สปส.ได้เสนอปรับเพิ่มเพดานค่าจ้างเป็น 20,000 บาท เพิ่มทั้งความยั่งยืนของกองทุน และสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีต่าง ๆ ได้แก่ กรณีชราภาพ ว่างงาน คลอดบุตร เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ให้แก่ผู้ประกันตน ทั้งนี้ ชะลอการดำเนินการไว้เนื่องจากสถานการณ์ของโควิด-19

2) สำหรับการขยายอายุเกิดสิทธิรับบำนาญขั้นต่ำ สปส.ได้เสนอให้ปรับแก้ พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับที่ 5 ขยายจาก 55 เป็น 60 ปี โดยผ่านการประชาพิจารณ์แล้ว ซึ่งการดำเนินการจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ประกันปัจจุบันที่ใกล้เกษียณไม่ได้รับผลกระทบ

3) สำหรับกรณีปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบ สปส.ยังไม่ได้เสนอปรับแก้ไขใน พ.ร.บ.ประกันสังคมฉบับที่ 5 โดย สปส.เป็นนโยบายที่ควรดำเนินการในระดับประเทศ ผ่านคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติที่กำลังจะตั้งขึ้น เพื่อให้นโยบายการจัดเก็บเงินสมทบเป็นไปได้อย่างสอดคล้องกันในภาพรวมประเทศ

นายบุญสงค์กล่าวต่อไปว่า ไม่อยากให้ผู้ประกันตนหวั่นวิตกจนเกินไป เนื่องจาก สปส.มุ่งมั่นปฏิรูปองค์กรและการทำงานตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อไม่ให้ภาระทั้งหมดตกไปถึงมือรุ่นลูกรุ่นหลาน

สปส.ได้กำหนดแผนการสร้างความมั่นคงให้กับกองทุนประกันสังคมไว้ในแผนปฏิรูปสำนักงานประกันสังคม โดยกำหนดแนวทางดำเนินการแล้ว เช่น การปรับปรุงเพดานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบมาพิจารณาปรับใช้เป็นระยะ ๆ

การจะทำให้กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพมีความยั่งยืน และมีเงินเพียงพอที่จะจ่ายบำนาญให้ผู้ประกันตนได้ตลอดไป จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือร่วมใจจากผู้ประกันตนและนายจ้าง ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วง

“อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงตามแนวทางใด ๆ ย่อมอาจส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความรู้สึกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง ดังนั้นก่อนที่ สปส.จะปรับปรุง การดำเนินการต่าง ๆ ก็จะสอบถามความคิดเห็นจากผู้มีส่วนร่วมออมเงินทุกฝ่าย เพื่อให้ช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน” นายบุญสงค์กล่าวในตอนท้าย