สสส.ปั้นผู้นำสุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน-ป้องกันโรคไม่ติดต่อ

สสส.

ปัจจุบันคนไทยกลุ่มวัยทำงานในปัจจุบันมีสูงถึง 38 ล้านคน เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจ และอนาคตของประเทศ กำลังเผชิญต่อความเสี่ยงสำคัญต่อสถานการณ์การเกิดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs (noncommunicable diseases) ต้นเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ การเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง มะเร็งเฉพาะจุด เบาหวานประเภท 2 โรคไตวายเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง สุขภาพจิต (อาการวิตกกังวลและหดหู่ที่ลดลง) และการนอนหลับ

โดยความน่ากลัวพบว่าสถิติคนไทยป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังสูงถึง 7,600,000 คน เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจวายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดราว 40,000 คนต่อปี หรือ 108 คนต่อวัน เป็นโรคอัมพฤกษ์อัมพาตกว่า 500,000 คน และพบว่ากลุ่มคนที่มีโรคประจำตัวในกลุ่มนี้หากติดเชื้อโควิด-19 จะทำให้มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรงมากกว่าปกติ ซึ่งโรคภัยเหล่านี้นอกจากสร้างความเสี่ยงสุขภาพแล้ว ยังมีผลกระทบต่อการลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน ความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ และการดูแลครอบครัว

ดังนั้น การป้องกันปัจจัยความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ตั้งแต่ต้นทางในกลุ่มวัยทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เครือข่ายคนไทยไร้พุง สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงร่วมกันเปิด “หลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน” โดยเปิดรับสมัครหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมโครงการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย จำนวน 25 องค์กร ผ่าน e-Mail : [email protected]

“ประภาศรี บุญวิเศษ” ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 5 สสส. กล่าวว่า หลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน ถูกพัฒนาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระดับประเทศ มีวางเป้าหมายสำคัญใน 3 ด้าน คือ

ประภาศรี บุญวิเศษ
ประภาศรี บุญวิเศษ ประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 5 สสส.

หนึ่ง ผู้นำสุขภาพมีทักษะความรู้ในการมีกิจกรรมทางกายที่ถูกต้อง สามารถจัดการและขับเคลื่อนการมีกิจกรรมทางกายในองค์กร

สอง ผู้เข้าอบรมมีทักษะที่จำเป็นของการมีกิจกรรมทางกาย

สาม มีเจตคติที่ดีต่อการมีกิจกรรมทางกาย สามารถออกแบบกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับองค์กรได้ นอกจากนั้นผู้ผ่านการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตรจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ฯ และให้คำปรึกษาต่อเนื่องเพื่อดำเนินโครงการเพิ่มกิจกรรมทางกายที่เหมาะสมกับองค์กร

“หลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสุขภาวะที่ดีของคนวัยทำงานในองค์กร แต่ประเด็นสำคัญคือผู้บริหารองค์กรต้องให้ความสำคัญและกำหนดเป็นนโยบาย โดยเนื้อหาหลักจะเน้นให้ความสำคัญต่อการปรับสภาพแวดล้อมและพื้นที่ในสถานที่ทำงาน เพื่อรองกับการมีกิจกรรมทางกายที่เอื้อต่อการปรับพฤติกรรมของพนักงานให้มีการขยับ การเดิน ลดการนั่งติดเก้าอี้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งการแนะนำให้เพิ่มเมนูผักและผลไม้ในมื้ออาหารระหว่างวัน”

“ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม” ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวเสริมว่า การเพิ่มกิจกรรมทางกายจะเป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ในกลุ่มวัยทำงาน โดยองค์กรอนามัยโลกแนะนำว่า บุคคลที่สุขภาพปกติในวัยทำงานควรมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ และควรปฏิบัติเป็นประจำอย่างน้อย 150-300 นาทีต่อสัปดาห์ ดังนั้น การอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงานจึงเป็นโครงการที่สนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพดี

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการ สสส. และรักษาการผู้อำนวยการ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส.

“ทั้งนี้ สสส.มองปัญหาโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ และเป็นภาระกิจสำคัญ โดยในปี 2562 คนไทยเสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคนี้ ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องสูงถึง 427.4 คนต่อประชากร 100,000 คน”

“ดังนั้น สสส.จึงทำงานร่วมกับสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อ ขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายโลก 9 ด้าน ตามที่ไทยได้ให้คำมั่นสัญญาในข้อตกลงของสหประชาชาติ โดยตั้งเป้าหมายลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรคไม่ติดต่อหรือ NCDs (การเสียชีวิตก่อนอายุ 70 ปี) ลดลงประมาณ 25% ภายในปี 2568 และมีอัตราลดลง 1 ใน 3 ของประชากรไทยทั้งหมด ภายในปี 2573 ตามเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)”

“รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์” ประธานหลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน กล่าวว่า ผู้เข้าอบรมหลักสูตรนี้จะได้รับความรู้จาก 5 ชุดวิชา ทั้งทฤษฎีและการปฏิบัติ ได้แก่ รู้จัก NCDs การตรวจประเมินและการจัดการเชิงป้องกัน, การส่งเสริมกิจกรรมทางกาย, การส่งเสริมโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีห่างไกลโรค, การพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ และการออกแบบและดำเนินโครงการสร้างเสริมสุขภาพในองค์กร ตามแนวคิด Design Thinking for Healthy Organization

รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ ประธานหลักสูตรอบรมผู้นำสุขภาพในสถานที่ทำงาน

“รูปแบบการอบรมเป็นการผสมผสานทั้งออฟไลน์ ออนไลน์ และการศึกษาด้วยตัวเอง เพื่อจัดทำข้อเสนอโครงการที่จะนำไปใช้ในองค์กรของตน ระยะเวลาการอบรม 60 ชั่วโมง สสส.ต้องการสร้างผู้นำกิจกรรมทางกายในออฟฟิศ เพื่อนำไปขยายผลต่อไปยังกลุ่มเพื่อนพนักงานด้วยกันในเชิงเพื่อนชวนเพื่อน เมื่อคนในออฟฟิศเห็นตัวอย่างที่ดีก็จะเกิดแรงจูงใจหันมาปฏิบัติตามด้วย ดังนั้น เมื่อพนักงานสุขภาพกายดี สุขภาพใจดี ความเครียดลดลง บรรยากาศการทำงานก็จะมีความสุข”

“หลักสูตรนี้จึงเหมาะกับองค์กรที่จะส่งมอบประโยชน์โดยตรงให้กับพนักงาน แสดงถึงนโยบายขององค์กรเน้นให้ความใส่ใจห่วงใย เป็นการสร้างวิถีชีวิตสุขภาวะที่ดีภายในองค์กร และส่งต่อไปยังครอบครัวของพนักงาน”

“รศ.ดร.นพวรรณ เปียซื่อ” รองคณบดีฝ่ายสร้างเสริมสุขภาพ คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีประสบความสำเร็จในการพัฒนาองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรสุขภาพดี (healthy organization) ในโครงการ Happy Healthy RAMA ภายใต้การสนับสนุนจาก สสส. และเครือข่ายคนไทยไร้พุง เพื่อแก้ไขปัญหาบุคลากร นักศึกษาแพทย์และพยาบาล ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 13,000 คน

และพบปัญหาสุขภาพสูงเทียบเท่าระดับประเทศ โดยสัดส่วน 1 ใน 3 มีภาวะโรคอ้วนลงพุง 1 ใน 2 เผชิญภาวะน้ำหนักเกิน 1 ใน 5 มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานหรือเป็นเบาหวานแล้ว ขณะที่ 2 ใน 3 พบปัญหาไขมันในเลือดสูง

“ทั้งนี้ ตัวอย่างการเพิ่มกิจกรรมทางกายของโรงพยาบาลที่โดดเด่น ซึ่งเริ่มจากกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น การอบรมผู้นำสุขภาพประจำแผนกซึ่งปัจจุบันมีมากถึง 200 คน ซึ่งมีแผนขยายโครงการเพิ่มขึ้นอีก การปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เอื้ออำนวยในการมีกิจกรรมทางกาย เช่น การเดินระหว่างทำงาน การขึ้นลงบันได การจัดตั้งศูนย์กีฬา ศูนย์สัมพันธ์สร้างสุขภาพ การปลูกผักออร์แกนิกในโครงการฟาร์มสร้างสุข เพื่อนำมาปรุงอาหารแก่ผู้ป่วยของโรงพยาบาล และบุคลากร”

“และเป็นรางวัลจูงใจให้แก่พนักงานที่บรรลุเป้าหมายสุขภาพระหว่างวัน การเป็นโรงพยาบาลลดเค็มและอ่อนหวานเต็มรูปแบบ ด้วยบรรจุเมนูสุขภาพทางเลือกอย่างน้อย 1 เมนูในร้านอาหารในโรงพยาบาล การรณรงค์ดื่มน้ำเปล่า และเลิกบุหรี่ พร้อมทั้งขยายโครงการไปยังชุมชนใกล้เคียงจำนวน 8 แห่งด้วย”

“เราประสบความสำเร็จในการปรับพฤติกรรมบุคลากร นักศึกษาแพทย์และพยาบาล ให้มีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น มีโภชนาการด้านอาหารที่ดีขึ้น ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะเป็นต้นแบบของสุขภาพดี ห่างไกลโรค เมื่อไปทำงานที่ใดก็จะนำความรู้นี้ไปเผยแพร่ต่อไปสู่สังคม ดังนั้น จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ด้านสุขภาพดีภายในองค์กรของเรา ก็จะนำไปสู่ความสำเร็จระดับชาติ เพราะคนไทยส่วนใหญ่เชื่อคำแนะนำของหมอ”