วันสตรีสากล 8 มี.ค. เปิดกฎหมายควรรู้สำหรับแรงงานหญิง

ภาพ: Reuters

กสร. ชูวันสตรีสากลปี 2565 ยกแรงงานสตรีสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ลุยจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมาย พร้อมแนะข้อกฎหมายควรรู้ ยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

วันที่ 8 มีนาคม 2565 ​นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เผยว่า วันที่ 8 มีนาคมของทุกปีเป็นวันสตรีสากล ซึ่งปัจจุบันแรงงานสตรีได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งในระดับผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ยังพบว่า สตรีที่ทำงานได้รับการยอมรับเป็นอย่างสูงในแวดวงธุรกิจต่าง ๆ เช่น ธุรกิจการส่งออก ธุรกิจค้าปลีกสินค้าอุปโภคและบริโภค ธุรกิจการเงิน เป็นต้น ล้วนเป็นภาคธุรกิจที่เป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ

​นายนิยมกล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครอง และพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานสตรีมาโดยตลอด ซึ่งเห็นได้จากการกำหนดการคุ้มครองสิทธิของแรงงานสตรีไว้เป็นการเฉพาะในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และส่งเสริมการจัดสวัสดิการนอกเหนือกฎหมาย เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานสตรี เช่น การส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการ เพื่อลดความกังวลของแรงงานที่มีบุตร เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงานและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง

“ปัจจุบันมีสถานประกอบกิจการจัดให้มีสถานรับเลี้ยงเด็กจำนวน 96 แห่ง ศูนย์เด็กเล็กวิทยาเขตสิรินธรราชวิทยาลัยในพระราชูปถัมภ์ มีบุตรของแรงงานไทยและต่างด้าวในความดูแล 888 คน รวมถึงการจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ 2,008 แห่ง ตลอดจนการส่งเสริมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน รวมถึงการมีส่วนร่วมเรื่องความเท่าเทียมในการทำงาน”

กฎหมายคุ้มครองสิทธิแรงงานสตรีที่ควรรู้ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งหากนายจ้างฝ่าฝืนต้องถูกดำเนินคดี มีดังนี้

มาตรา 15 ให้นายจ้างปฏิบัติในการจ้างงานต่อลูกจ้างชายและหญิงโดยเท่าเทียมกัน เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของงานไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้

มาตรา 16 ห้ามมิให้นายจ้าง หัวหน้างานกระทำการล่วงเกิน คุกคามทางเพศต่อลูกจ้าง

มาตรา 38 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทำงานเหมืองแร่ หรืองานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน งานที่ต้องทำบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ

มาตรา 39 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรที่มีความสั่นสะเทือน งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ งานยก หรือเข็นของหนักเกิน 15 กิโลกรัม และงานที่ทำในเรือ

มาตรา 39/1 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 4 ทุ่ม-6 โมงเช้า ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด

มาตรา 41 ลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกิน 98 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 45 วัน

มาตรา 43 ห้ามมีให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างหญิงเพราะเหตุมีครรภ์

ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานแรงงานหญิง เด็ก และเครือข่ายการคุ้มครองแรงงาน กองคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 02-660-2048 หรือ e-mail: [email protected]