ชีวิตใหม่ที่เลือกได้ เปลี่ยนกายให้ตรงกับใจ

Pride Month เดือนแห่งความภาคภูมิใจของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่อารมณ์และอาณาจักรของคนสีรุ้งยังคงดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าในทุกมุมโลก

สำหรับประเทศไทยได้จัดงาน “BANGKOK PRIDE 2022” อย่างยิ่งใหญ่ หลายองค์กรจัดนิทรรศการ และกิจกรรมส่งเสริมความหลากหลายทางเพศด้วยเช่นกัน ล่าสุด “โรงพยาบาลยันฮี” ส่งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมให้ความรู้เส้นทางการแปลงเพศตามสโลแกน “ครบ…จบที่ยันฮี กับชีวิตใหม่ที่ใครก็เลือกที่จะเป็นได้” ในงานสัมมนา “Gender Affirming Surgery กับชีวิตใหม่ที่เลือกได้”

นพ.สุกิจ วรธำรง
นพ.สุกิจ วรธำรง

แชร์ประสบการณ์การผ่าตัดแปลงเพศ

งานนี้ นพ.สุกิจ วรธำรง และ นพ.วรพล รัตนเลิศ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย และแพทย์เฉพาะทางด้านการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง จากโรงพยาบาลยันฮี ได้เป็นวิทยากรให้ความรู้ทุกแง่มุม โดยมี “จิ๊บ-ณภัค มหาอุดมพร” และ “ริน-รรินภัทร์ สมอุ่น” ผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วกับโรงพยาบาลยันฮี ได้มาร่วมแชร์ประสบการณ์ในครั้งนี้ด้วย

ปัจจุบัน LGBTQ+ (กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ) ได้รับการยอมรับในสังคมมากขึ้น สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่บนพื้นฐานของความถูกต้องและไม่ขัดต่อสาธารณชน ซึ่งโรงพยาบาลยันฮีเป็นหนึ่งในสถานพยาบาลที่ร่วมดูแลบุคคลกลุ่มนี้ตามหลักการทางการแพทย์ เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

นพ.วรพล รัตนเลิศ
นพ.วรพล รัตนเลิศ

สำหรับ “ศูนย์แปลงเพศครบวงจร” โรงพยาบาลยันฮี ให้บริการแบบสหสาขาวิชาชีพ ทั้งการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง และจากหญิงเป็นชาย ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาด้านจิตเวช การเทกฮอร์โมนเพื่อปรับสภาพร่างกายตั้งแต่แรกเริ่ม การวางแผนการผ่าตัดแปลงเพศอย่างถูกวิธีและปลอดภัย รวมทั้งดูแลหลังการผ่าตัดด้วยทีมแพทย์สหสาขา ทีมพยาบาลที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง เพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัย

ปัจจุบันการผ่าตัดแปลงเพศได้รับการพัฒนามากเป็นลำดับ มีการคิดค้นเทคนิคการผ่าตัดใหม่ ๆ ที่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ รูปลักษณ์ที่ได้จะมีความคล้ายคลึงเพศที่ต้องการมากที่สุด โดยโรงพยาบาลยันฮีจะผ่าตัดด้วยวิธี “จุลยศัลยกรรม” ซึ่งเป็นการผ่าตัดผ่านกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง สามารถเห็นรายละเอียดโครงสร้างเส้นประสาทต่าง ๆ ได้ชัดเจนมาก ๆ แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กลง การเจ็บแผลก็น้อยลง คนไข้จะฟื้นตัวเร็วขึ้น

ที่สำคัญ ทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการผ่าตัดด้านนี้ จะคำนึงถึงผลลัพธ์คือ ให้เกิดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุดหรือไม่ให้เกิดขึ้นเลย

ก่อนผ่าตัดต้องผ่านจิตแพทย์ประเมินด้านจิตใจ

ก้าวแรกที่สำคัญของการแปลงเพศคือ การประเมินสภาพจิตใจจากจิตแพทย์จำนวน 1-2 ท่าน ตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อประเมินตัวตนให้ชัด จิตแพทย์จะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีที่สุด เปรียบเหมือนผู้ช่วยที่จะทำให้ผู้เข้ารับการแปลงเพศค้นหาตัวเองได้ และจะเป็นผู้ดูแล เพื่อให้ผู้เข้ารับการแปลงเพศสามารถยอมรับ และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รวมถึงปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันกับเพศใหม่ได้อย่างเหมาะสม

อีกจุดหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การเทกฮอร์โมน” ภายใต้การดูแลของแพทย์ ขณะที่คนส่วนใหญ่มักซื้อฮอร์โมนมารับประทานเองตามโฆษณาชวนเชื่อ หรือการบอกต่อในโลกโซเชียล โดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะไม่ตระหนักถึงอันตราย

เช่น การใช้ยาฮอร์โมนในปริมาณมาก เพื่อเร่งผลลัพธ์ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว หรือใช้ผิดประเภท ผิดขนาด อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในกลุ่มคนข้ามเพศนั่นเอง

ดังนั้น การใช้ฮอร์โมนตามคำแนะนำของแพทย์จึงปลอดภัยที่สุด โดยมีการติดตามตรวจสุขภาพ หากพบความผิดปกติจะรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งแพทย์อาจมีการปรับยา หรือสั่งยาเพิ่ม ให้เหมาะสมกับแต่ละคน

สุดท้าย เมื่อก้าวเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศแล้ว ไม่ว่าจะแปลงเป็นชายหรือหญิง ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุด ควรศึกษากระบวนการให้ถ่องแท้ ทั้งการเลือกทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความชำนาญโดยเฉพาะ วิธีการผ่าตัดที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน

ทั้งนี้ โรงพยาบาลยันฮี ยึดหลักการรักษามาตรฐาน 3S นั่นคือ safety (ความปลอดภัยในการผ่าตัด) standard (มาตรฐานในการรักษาผู้รับบริการ) และ specialist (ศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง)

ผู้ที่ตั้งใจแปลงเพศต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนตัดสินใจเปลี่ยนกายให้ตรงกับจิตใจ จากจุดเริ่มต้นการเทกฮอร์โมนเพศ หรือเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ควรได้รับการดูแลด้านจิตใจ โดยการปรึกษาแพทย์ คนรอบข้างที่เข้าใจ คนในครอบครัว ฯลฯ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ยิ่งใหญ่และซับซ้อน

ที่สำคัญ ผลของการเปลี่ยนแปลงนี้จะยังคงอยู่กับเราตลอดไป ด้วยเหตุนี้ก่อนเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดแปลงเพศ จึงต้องตัดสินใจให้รอบคอบที่สุด เพื่อให้ชีวิตใหม่มีความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ

จิ๊บ-ณภัค มหาอุดมพร / ริน-รรินภัทร์ สมอุ่น
จิ๊บ-ณภัค มหาอุดมพร / ริน-รรินภัทร์ สมอุ่น

ขณะที่ผู้มีประสบการณ์ผ่าตัดแปลงเพศอย่าง “จิ๊บ-ณภัค มหาอุดมพร” และ “ริน-รรินภัทร์ สมอุ่น” เปิดเผยความรู้สึกหลังผ่าตัดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลังแปลงเพศแล้ว รู้สึกชีวิตและหัวใจได้รับการเติมเต็ม ทำให้มั่นใจในตัวเองมากขึ้น เพราะได้มีร่างกายที่ตรงตามสภาพจิตใจ โดยมีแพทย์ดูแลสุขภาพของเราตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

“ถ้าใครอยากจะเป็นผู้หญิง อยากใช้ชีวิตแบบผู้หญิง 100% ขอให้ปรึกษากับทีมแพทย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลจะดีที่สุด อย่าคิดไปเอง เพราะคนส่วนใหญ่ชอบคิดว่า ถ้าเราไม่สวยแล้ว แปลงเพศยังไงก็ไม่มีใครสนใจ แต่การแปลงเพศสำหรับริน รินมองว่า เราทำเพื่อตัวเองมากกว่า หลายคนอยากแปลงเพศเพื่อใช้ชีวิตกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่รินมองว่านั่นเป็นผลพลอยได้ สิ่งสำคัญคือตัวเรา ขอให้เรามั่นใจ” รรินภัทร์กล่าว