ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครึ่งปีแรก

ส่งออกยาง

“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก พร้อมจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย ผนึกพลังทุกภาคส่วนเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถแข่งขันของไทย

วันที่ 12 สิงหาคม 2565 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2565 ว่า

ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดยาง รวมทั้งมุมมองและข้อเสนอแนะจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรของไทยทุกภูมิภาคทั่วโลก และรายงานของการยางแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาด และการส่งออกครึ่งปี 2565 ยังครองตำแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลก

จีนนำเข้ายางไทยอันดับหนึ่ง

ด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนำเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 49%

 

รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดย กยท. เพื่อประกอบการพิจารณากำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ สถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยและภาวะตลาด ทำให้ราคาผันผวน จำเป็นต้องเพิ่มกลไก และมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤต

ส่งออกยางพารา

โดยเน้นการบูรณาการทำงานจากหลายภาคส่วนร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคเกษตรกร สถาบันเกษตรกรภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 ยุทธศาสตร์ทำงานเชิงรุกบูรณาการทุกภาคส่วน ยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัยเกษตรมั่นคงเกษตรยั่งยืน (3 S :Safety Security Sustanability) และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนบนฐานศาสตร์พระราชาเป็นกรอบการกำหนดมาตรการและการบริหารเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของยางไทย

จัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย

ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้มีการจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยแนวทางความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน (Partnership principal) เป็นการผนึกพลังให้แข็งแกร่งในฐานะประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลก เป็นองค์กรในลักษณะเดียวกับแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือ FKII ของญี่ปุ่น ซึ่งมีกว่า 4,200 องค์กรเป็นสมาชิก

และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยประสานกับสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรไทยในญี่ปุ่น เพื่อจัดทำโครงสร้างและระบบของแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย เสนอในการประชุมคราวหน้า และจากการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะของทูตเกษตรทุกภูมิภาคทั่วโลกทำให้เห็นถึงช่องว่างตลาดใหม่ ๆ และนโยบายใหม่ของประเทศคู่ค้า จึงให้เพิ่มมาตรการใหม่อีก 6 มาตรการเชิงรุก ได้แก่

  • 1. มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเช่นการผลิตสื่อดิจิทอลเผยแพร่ในตลาดต่างประเทศ
  • 2. มาตรการตลาดเชิงรุก เน้นความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในรายตัวสินค้าและในรายประเทศคู่ค้า (product based &country based) เช่น ความต้องการยางจักรยานและยางรถบัสเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป และผลิตภัณฑ์ยางที่อียูแบนสินค้าจากรัสเซีย หรือผลิตภัณฑ์ยางที่รัสเซียระงับการนำเข้าจากอียู ทำให้เกิดช่องว่างที่ไทยสามารถส่งออกไปทดแทนได้
  • 3. มาตรการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเร่งดำเนินการก่อนประเทศคู่แข่ง โดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน สวนยางยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ตอบโจทย์เทรนด์ของตลาด เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) FSCและDeforestation เป็นต้น
  • 4. มาตรการระยะสั้นรายไตรมาส เพื่อการบริหารจัดการตามปฏิทินฤดูการผลิตประจำปี โดยมอบ กยท. ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการร่วมกัน
  • 5. มาตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ยางมูลค่าสูงเน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สถาบันยาง และผู้ประกอบการ โดยให้ กยท.ประสานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์ AIC) ซึ่งมีผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางจำนวนมาก เช่น วัสดุภัณฑ์ก่อสร้างบ้านและอาคาร ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ด้านคมนาคมขนส่ง
  • 6. มาตรการเชิงกลไกการตลาด เช่น การแทรกแซงตลาด ซึ่ง กยท.ได้ดำเนินการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยเข้าแทรกแซงตลาดเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงควรกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเชิงกลไกตลาด เช่น การบริหารซัพพลายและดีมานด์ กลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง และระบบการประมูลยางออนไลน์ เป็นระบบที่เปิดกว้างเพิ่มผู้ซื้อทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการกำหนดราคาโดยผู้ซื้อน้อยรายหรือการฮั้วหรือการผูกขาด

จัดฟอรั่มอัพเดตสถานการณ์ตลาดยางโลก

นอกจากนี้ ยังให้จัดฟอรั่มอัพเดตสถานการณ์ตลาดยางโลกทุก 2 เดือน โดย กยท.และสำนักงานเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรฯไทย เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลรอบด้านที่ทันโลกทันเหตุการณ์ด้วยระบบออนไลน์คู่ขนานกับการประชุมของคณะกรรมการชุดนี้

ส่งออกยางพารา

และยังมอบหมายให้สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตร ณ กรุงบรัสเซลส์ ประสานกับ กยท. สถาบันชาวสวนยางและภาคเอกชนไทยในการขับเคลื่อนรับมือการเคลื่อนไหวของอียู ในประเด็น Deforestation รวมทั้งมอบหมาย กยท.ให้รวบรวมข้อมูลของสภาการยางแห่งมาเลเซีย (MRC) และนโยบายการวิจัยยางของมาเลเซียส่งให้กับกรรมการทุกคนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป

ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยมุมมองทูตเกษตร ประจำสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สำนักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สำนักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกา และอเมริกาใต้ (สำนักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สำนักงานกรุงจาการ์ตา)

ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี 2565 จีนมีมูลค่าการนำเข้ายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์จากไทย มากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งมีปริมาณการนำเข้ายางพาราจากไทย จำนวน 1,426,305 ตัน เพิ่มขึ้น 5.37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา

ชี้ตลาดจีนครึ่งปีหลังแนวโน้มดี

จากการวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี มีการกำหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง มีนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าช่วยหนุนการฟื้นตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนอยู่ในทิศทางที่ดี วิสาหกิจต่างเร่งฟื้นฟูการผลิต สต๊อกยางพาราธรรมชาติในแหล่งสำคัญอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้ยางพาราธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้น

อิตาลีนำเข้าสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์จากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจากเยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 31,340 ล้านบาท ในขณะที่ทางสหภาพยุโรปกำลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ EU Green Deal เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น จึงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องทำงานร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายและมาตรการ European Green Deal

รวมทั้งร่างกฎหมาย Deforestation Free Product ของ EU ที่ห้ามจำหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายป่า ทั้งสินค้าภายใน EU และสินค้านำเข้ามาจำหน่ายใน EU จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท (เนื้อวัว ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ) และมีแนวโน้มที่ยางพาราจะเข้าอยู่ในรายการสินค้าควบคุมในอนาคต

ทางด้านฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.799 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.88% และคาดการณ์ปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติปี 2565 มีปริมาณ 4.275 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.41%

โดยมีมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 167,213 ล้านบาท และมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติไปยังต่างประเทศ ระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 70,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด คิดเป็น 49% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 7% ญี่ปุ่น 6% เกาหลีใต้ 4% และอื่น ๆ 25%

โครงการชะลอขายยางได้ผลดี

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้า 1) ผลการดำเนินงานโครงการชะลอขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อชะลอปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ลดความผันผวนของราคายาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิต ซึ่งมีสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ ฯ 207 แห่ง

จากการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2565 เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางโดยสถาบันเกษตรกรที่ชะลอการขายยางในช่วงราคายางตกต่ำ และรอจำหน่ายยางเมื่อราคาสูงขึ้น มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยในปี 2565 เป็น 3.37 บาท/กิโลกรัม มูลค่า 87.98 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจกรรมการรวบรวมยางจากเกษตรกร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางด้านการเงินให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร ช่วยลดมลพิษจากกลิ่นของยางก้อนถ้วยเปียก ทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอาชีพการทำสวนยาง ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพัฒนาสถานะเป็นนิติบุคคล

2) ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง และผลการดำเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง จากการดำเนินการทางตลาดของ กยท. ได้ดำเนินการค้ำราคา โดยการบริหารการผลิตให้ตรงกับความต้องการตลาด เข้าแทรกแซงสร้างราคาในตลาดประมูลยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน เข้าประมูลในตลาดล่วงหน้ายางแผ่นรมควัน (เข้าค้ำราคาล่วงหน้า) น้ำยางสดเจรจาต่อรอง ราคาประกาศ กยท. ค้ำตลาด น้ำยางสดเข้าซื้อเพื่อค้ำราคาตลาด เพื่อสร้างจิตวิทยาขาบวกต่อตลาด ข้อมูล กยท.เข้าซื้อน้ำยางสด ณ วันที่ 22 มิ.ย.-14 ก.ค. 2565 รวม 5,239,980 กิโลกรัม เนื้อยางแห้ง 1,720,921.68 กิโลกรัม เป็นเงิน 91,037,470 บาท เฉลี่ยซื้อกิโลกรัมละ 52.90 บาท

สร้างเสถียรภาพราคาน้ำยางจากที่ทุกบริษัทปลายน้ำตั้งราคาจะซื้อน้ำยางสด กิโลกรัมละ 45 บาท (ในเดือน มิ.ย. 65) ตรึงราคาได้และกลับมาเพิ่มจากที่ราคาน้ำยางลง 49 บาท มาเป็น 51-52 บาท ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ก.ค. 65 รวม 24 วัน ถ้าเทียบปริมาณน้ำยางสดทั้งประเทศ วันละประมาณ 30,000,000 กิโลกรัม (น้ำยางสด) 10,000,000 กิโลกรัม (เนื้อยางแห้ง) จะสร้างราคาเพิ่ม 3-5 บาท/กิโลกรัม (จำนวน 24 วัน) เป็นเงิน 720 ล้านบาท

สำหรับการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานบอร์ด กยท. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท. เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง