ท่องเที่ยวโต ดันยอดธุรกิจตั้งใหม่ ก.ค. 66 พุ่ง 16.90% สูงสุดในรอบ 10 ปี

จดทะเบียนธุรกิจเดือนแรกยอดพุ่ง
ภาพโดย Sozavisimost from Pixabay

“จุรินทร์” เผยยอดจดทะเบียนธุรกิจ ก.ค. 2566 ร่วม 6,848 ราย เพิ่มขึ้น 16.90% สูงสุดในรอบ 10 ปี มูลค่าทุนกว่า 16,600 ล้านบาท แรงหนุนจากการท่องเที่ยวโต จับตาธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โต 2.09 เท่า ขณะที่ธุรกิจตั้งใหม่ 3 อันดับแรก “ก่อสร้าง-อสังหาฯ-ร้านอาหาร” 

วันที่ 21 สิงหาคม 2566 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลการจดทะเบียนธุรกิจจัดตั้งใหม่ ประจําเดือนกรกฎาคม 2566 มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 6,848 ราย เพิ่มขึ้น 16.90% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 16,648.21 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ของเดือนกรกฎาคม 2557-2566 และสูงสุดในรอบ 10 ปี เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน (มกราคม-กรกฎาคม 2566) เป็นผลมาจากการท่องเที่ยวเติบโต แต่ลดลง 10.20% เมื่อเทียบเดือนที่ผ่านมา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

สำหรับประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 545 ราย คิดเป็น 8% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 480 ราย คิดเป็น 7% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 342 ราย คิดเป็น 5% ทั้งนี้ พบว่าการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจ 7 เดือนแรก ปี 2566 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 54,134 ราย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา (7 เดือนแรก ปี 2565) คิดเป็น 17.28%

สำหรับธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนกรกฎาคม 2566 มีจำนวน 1,867 ราย ลดลง 42.81% เมื่อเทียช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 7,527.92 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 175 ราย คิดเป็น 9% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 103 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 43 ราย คิดเป็น 2%  ในขณะที่การจดทะเบียนเลิกธุรกิจ 7 เดือนแรก ปี 2566 มีจำนวน 8,964 ราย เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา (7 เดือนแรก ปี 2565) คิดเป็น 18.70%

โดยเป็นการจดทะเบียนเลิกธุรกิจ 7 เดือนแรกที่สูงสุดในรอบ 10 ปี (ปี 2557-2566) เป็นผลมาจากธุรกิจมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปทำให้มีการปรับธุรกิจเพื่อเข้าสู่ตลาดจะเห็นได้จากการจดจัดตั้งใหม่ที่สูงและการจดเลิกธุรกิจก็สูงเช่นกัน

และธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2566 จำนวน 886,796 ราย มูลค่าทุน 21.47 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 203,802 ราย คิดเป็น 22.98% บริษัทจำกัด จำนวน 681,581 ราย คิดเป็น 76.86% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,413 ราย คิดเป็น 0.16%

อย่างไรก็ดี จากปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนทำให้การจดทะเบียนธุรกิจให้เติบโตสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย 7 เดือนแรก ปี 2566 มีจำนวนการจดจัดตั้งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 71.45%

โดยธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเติบโต 2.18 เท่า, ตัวแทนธุรกิจการเดินทางเติบโต 1.58 เท่า, ธุรกิจจัดนำเที่ยวเติบโต 1.32 เท่า, ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหารเติบโต 53.32% และธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุดเติบโต 45.06% มีสัดส่วนคิดเป็น 7.94% ของจำนวนธุรกิจ ที่จัดตั้งทั้งหมดใน 7 เดือนแรก ปี 2566

นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจน่าจับตามองที่เติบโตกว่า 1 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (7 เดือนแรก ปี 2565) ได้แก่ ธุรกิจขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืชเติบโต 2.23 เท่า (เพิ่มขึ้น 114 ราย) คาดว่าเป็นผลมาจากนโยบาย BCG Model ของรัฐบาลที่ส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตข้าวรักษ์โลก ธุรกิจบริการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้างเติบโต 2.09 เท่า (เพิ่มขึ้น 297 ราย) คาดว่าเป็นผลมาจากธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และห้องชุดที่กลับมาฟื้นตัวตามภาคการท่องเที่ยวทำให้มีธุรกิจที่รับบริหารจัดการเกี่ยวกับที่พักอาศัย โรงแรม รีสอร์ต บ้านพักตากอากาศเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจการปลูกพืชประเภทเครื่องเทศเครื่องหอมยารักษาโรค และพืชทางเภสัชภัณฑ์เติบโต 2.02 เท่า (เพิ่มขึ้น 235 ราย)

คาดว่าเป็นผลมาจากนโยบายกัญชาทางการแพทย์ และธุรกิจให้เช่าและให้เช่าแบบลิสซิ่งยานยนต์เติบโต 1.74 เท่า (เพิ่มขึ้น 152 ราย) คาดว่ามาจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตและภาคธุรกิจที่นิยมการเช่ารถยนต์กันมากขึ้นจากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าคาดการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 32,000-39,000 ราย และตลอดทั้งปี 2566 อยู่ที่ประมาณ 79,000-86,000 ราย