GDP เกษตร ปี 2566 โต 0.3%จากน้ำน้อย-ฝนทิ้งช่วงทุบสาขาพืชหดตัว 1.3%

ธรรมนัส รมว.เกษตร ปั๊ม GDP เกษตร ปีนี้ ขยายตัว 0.3% สาขาพืช หดตัว 1.3% จากน้ำน้อย-ฝนทิ้งช่วง เตรียม เดินหน้ามาตรการหนุนเกษตรกร ปี 67 ดันจีดีพีโต 0.7 – 1.7%

วันที่ 20 ธันวาคม 2566 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดการสัมมนาใหญ่ประจำปี แถลงตัวเลข GDP ภาคเกษตรไทย ปี 2566 และแนวโน้มปี 2567 ในคอนเซ็ปต์ “Grow Strong Beyond the Future : เสริมแกร่งเกษตรไทย สู่ก้าวใหม่ที่มั่นคง” พร้อมปาฐกถาพิเศษ “ก้าวใหม่เกษตรไทย สู่รายได้ที่มั่นคง” ว่า ภาคเกษตรเป็นรากฐานสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า

ปัจจุบันเนื้อที่ทางการเกษตรอยู่ที่ 149.75 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 46.7 ของเนื้อที่ทั้งประเทศ มีจำนวนครัวเรือนเกษตร 7.8 ล้านครัวเรือน และแรงงานที่อยู่ในภาคเกษตรสูงถึงร้อยละ 51 ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ นอกจากนี้ ในวิกฤตต่าง ๆ ภาคเกษตรยังช่วยรองรับและโอบอุ้มเศรษฐกิจไทย โดยเป็นแหล่งรองรับแรงงานที่ถูกเลิกจ้างจากภาคเศรษฐกิจอื่น

ในช่วงปี 2565 – 2566 หลายประเทศมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหารจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานของโลก แต่ประเทศไทยยังคงสามารถผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญได้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศ และมีศักยภาพในการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.50 ล้านล้านบาทต่อปี จึงถือว่าภาคเกษตรเป็นอีกหนึ่งแหล่งรายได้ที่สำคัญของประเทศ

ที่ผ่านมา การดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกร เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และทำการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงพัฒนาและแก้ไขปัญหาในหลายด้าน โดยใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy)

ธรรมนัส รมต.เกษตร ปั๊ม GDP

สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนการเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคเกษตร สู่รายได้ที่มั่นคง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีแก่เกษตรกร ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้”

โดยจะเร่งขับเคลื่อนงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกษตรกรกินดี อยู่ดี มีรายได้ดี มีอาชีพที่มั่นคง สินค้าเกษตรมูลค่าสูง ทรัพยากรเกษตรยั่งยืน และภาคเกษตรไทย คือ ผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกสินค้าเกษตรในตลาดโลก

ด้าน นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2566 พบว่า ขยายตัว 0.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยสาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัว ขณะที่สาขาพืชหดตัว

เมื่อจำแนกแต่ละสาขา ปี 2566 จะเห็นได้ว่า สาขาพืช หดตัว 1.3% เนื่องจากปริมาณฝนน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับมีช่วงอากาศร้อนยาวนานตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤษภาคม 2566 และภาวะฝนทิ้งช่วงในบางพื้นที่ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำสำคัญและแหล่งน้ำตามธรรมชาติลดลง

ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืช โดยพืชสำคัญที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ข้าวนาปี มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ลำไย และเงาะ สำหรับผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทุเรียน และมังคุด

สาขาปศุสัตว์ ปี 2566 ขยายตัว 4.7% เป็นผลจากความต้องการบริโภคสินค้าปศุสัตว์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ได้มาตรฐานและมีการควบคุมเฝ้าระวังโรคระบาดได้ดี โดยสินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ สุกร ไก่เนื้อ และโคเนื้อ ขณะที่สินค้าปศุสัตว์ที่มีผลผลิตลดลง ได้แก่ ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ

สาขาประมงในปี 2566 ขยายตัว 2.2% โดยกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี แม้ว่าเกษตรกรยังคงประสบปัญหาด้านต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และบางพื้นที่ยังพบโรคระบาดกุ้ง แต่เกษตรกรสามารถควบคุมโรคได้ดี ทำให้ในภาพรวมไม่กระทบต่อการเลี้ยงมากนัก

ขณะที่สัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือมีปริมาณลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตหลักของการทำประมงทะเลยังอยู่ในระดับสูง และสภาพอากาศมีความแปรปรวน สำหรับปลานิลและปลาดุกมีผลผลิตลดลง เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนอาหารสัตว์และสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยง

สาขาบริการทางการเกษตร ปี 2566 ขยายตัว 0.6% โดยในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สภาพอากาศทั่วไปเอื้ออำนวยและมีปริมาณน้ำเพียงพอ ทำให้เกษตรกรขยายเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส่งผลให้มีการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชดังกล่าวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี บางพื้นที่ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงและภัยแล้ง เกษตรกรบางส่วนงด เลื่อน หรือปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการเพาะปลูก ทำให้กิจกรรมการจ้างบริการเตรียมดินและเก็บเกี่ยวผลผลิตพืชที่สำคัญลดลง โดยเฉพาะข้าวนาปี และมันสำปะหลัง

สาขาป่าไม้ ปี 2566 ขยายตัว 2.5% โดยไม้ยางพาราเพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการตัดโค่นสวนยางพาราเก่ามากขึ้น ประกอบกับความต้องการไม้ยางพาราเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของจีนเพิ่มขึ้น ไม้ยูคาลิปตัสเพิ่มขึ้นตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับรังนกมีการส่งออกไปตลาดจีนลดลง และครั่งมีผลผลิตลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ไม่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโต

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง 0.7 – 1.7% จากปัจจัยสนับสนุน ทั้งการดำเนินนโยบายของภาครัฐ ความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดยังอยู่ในเกณฑ์ดี

และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัว ในรายสาขา ดังนี้ สาขาพืช ปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 0.6 – 1.6% สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 1.7 – 2.7% สาขาประมง ขยายตัว 0.5 – 1.5% สาขาบริการทางการเกษตร ขยายตัว 0.3 – 1.3% และสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.4 – 3.4%

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรในอนาคตต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายภายใต้ข้อจำกัดและโอกาสหลายด้าน ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการ อาทิ

บริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เตรียมการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและภัยพิบัติต่าง ๆ ส่งเสริมการทำการเกษตรเพื่อรองรับข้อกำหนดทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อม ยกระดับสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐาน มีความปลอดภัย ส่งเสริมการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต การแปรรูป และการตลาด เพื่อนำไปสู่เกษตรและบริการมูลค่าสูง ทำให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ