PTTGC ทุ่ม 7.2 พันล้านบาท ซื้อที่ดิน 890 ไร่ จาก ปตท.แพลนรองรับลงทุนในอนาคต ขยายลงทุนไบโอพลาสติกและพลาสติกขั้นสูงป้อนอุตสาหกรรมก่อสร้างและรถยนต์ เตรียมจับมือ GPSC ผุดโรงไฟฟ้าไว้ใช้ในโรงงาน พร้อมตั้งรับก๊าซหมดอ่าวไทย หันใช้น้ำมันดิบ-แนฟทามากขึ้น
แหล่งข่าวจากบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้พีทีทีจีซีได้ซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รวม 890 ไร่ รวมมูลค่า 7,200 ล้านบาท ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเอเชีย อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง สำหรับรองรับการลงทุนใหม่ (future growth) ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากปี 2566 ซึ่งจะเน้นหนักไปที่การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
1) ไบโอพลาสติก (bioplastic) ที่มีความหลากหลายมากขึ้น และ 2) พลาสติกที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น พลาสติกชนิดพิเศษ (specialty) เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ และอุตสาหกรรมการก่อสร้าง (engineering plastic) และพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษาความเหมาะสมว่าจะคุ้มค่าการลงทุนหรือไม่ รวมกว่า 10 โครงการ จะมีทั้งส่วนที่พีทีทีจีซีเป็นผู้ลงทุนเอง และเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีอยู่เดิมอย่างเช่น บริษัท มิตซูบิชิ รวมถึงพันธมิตรใหม่ ๆ ที่สนใจร่วมลงทุนทั้งที่เป็นนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศด้วย
การตัดสินใจซื้อที่ดินดังกล่าว เนื่องจากเป็นที่ดินที่พัฒนาไว้พร้อมใช้แล้ว รวมถึงที่ดินดังกล่าวยังอยู่ใกล้เคียงกับฐานการผลิตของพีทีทีจีซีที่มีอยู่เดิมในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้มีการเชื่อมโยงฐานการผลิตที่มีอยู่เดิมในพื้นที่รวมกว่า 20 plant มายังโรงงานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ยังเตรียมร่วมมือลงทุนกับบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรองรับความต้องการใช้ภายในกระบวนการผลิต ทั้งนี้ยังต้องมองไปถึงสถานการณ์การผลิตก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ่าวไทย ที่เริ่มมีการผลิตลดลงและอาจจะหมดไปในอนาคตได้นั้น ทำให้พีทีทีจีซีต้องปรับกระบวนการผลิตให้สามารถใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนก๊าซได้ เช่น น้ำมันดิบรวมไปจนถึงแนฟทา เป็นต้น
“ในพื้นที่ 890 ไร่นี้จะเป็นการลงทุนภาคต่อจากแผนลงทุน 5 ปี ระหว่างปี”61-65 ซึ่งเรายังคงใช้มาบตาพุดเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีสำคัญต่อไป เพราะมีระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ รองรับไว้อยู่แล้ว และไม่มีปัญหาการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ เพราะถูกกำหนดไว้เป็นพื้นที่สำหรับรองรับอุตสาหกรรม รวมถึงยังทำให้ PTTGC สามารถบริหารจัดการการปล่อยมลพิษต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น SOC/NOC ไม่ให้เกินจากระดับที่กฎหมายกำหนดไว้”
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ก่อนหน้านี้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTTGC ได้ประกาศแผนลงทุน 5 ปีว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 2.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุน 1 แสนล้าน เป็นการลงทุนที่มีโครงการชัดเจนแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างหาโครงการใหม่ ๆ ที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาความเหมาะสมและความคุ้มค่าลงทุน นอกจากนี้ PTTGC ยังเตรียมเน้นการลงทุนไปที่ปิโตรเคมีขั้นปลายน้ำเพิ่มเติมด้วย ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้เริ่มก่อสร้างโครงการส่วนขยายปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลายในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น โครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตสายโอเลฟินส์ โครงการผลิตสารโพรพิลีนออกไซด์และโครงการผลิตสารโพลีออยล์ เป็นต้น