กกร. ชงเว้น VAT ซื้อสินค้าออนไลน์ ใช้มาตรการตอบโต้ทุ่มตลาดสกัดสินค้านำเข้าจากจีน

กกร. ชงเว้น VAT ซื้อสินค้าออนไลน์

กกร.กังวลสินค้าราคาถูกทุ่มตลาดในไทย ชงรัฐเว้นเก็บ VAT การซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย พร้อมทบทวนเงื่อนไขใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone และออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (AC) บังคับใช้ คาด GDP ปี’67 ยังโตได้ 2.8-3.3% หวังรัฐได้บังคับจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างใช้ Local Content กระตุ้นโครงการลงทุนอีกทาง

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า กกร.มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (e-Commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี

ทวี ปิยะพัฒนา
ทวี ปิยะพัฒนา

ประเด็นเหล่านี้ ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้

ดังนั้น กกร.จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้งการออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention : AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เป็นต้น

เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3% เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจจีนที่ยังเติบโตได้ค่อนข้างดี ส่วนการส่งออกของไทยยังขยายตัวได้ประมาณ 2-3% ตามการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่และสินค้ากลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

อย่างไรก็ตาม ยังต้องเผชิญกับหลายปัจจัย ทั้ง 1.การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ 2.ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวง โดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาสที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่ม และกระทบกับราคาพลังงาน 3.ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และ 4.การแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

ดังนั้น จึงประมาณการว่า เศรษฐกิจปี 2567 GDP ยังคงโตในกรอบที่ 2.8-3.3% ส่งออกโต 2-3% และเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.7-1.2%

นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวถึงประเด็นเรื่องของ มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ภาคเอกชนสนับสนุนเพราะเล็งเห็นว่า เป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และยั่งยืน ซึ่งจะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19

โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending ที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย เน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ

โดยขอให้ ธปท.ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการต่อการเข้าถึงสินเชื่อด้วย เนื่องจากบางส่วนมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ

ทั้งนี้ จากเป้าหมายของภาครัฐ ที่ต้องการให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศในปี 2567 ที่จำนวน 35 ล้านคน ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศกว่า 3 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดแรงหนุนทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

แต่อย่างไรก็ตาม กกร.มีความกังวลต่อความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงขอเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่าง ๆ เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยังมีประเด็นข้อเสนอเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างต่อการพัฒนาประเทศ โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 2.6% ของ GDP ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมก่อสร้างยังมีความสำคัญในด้านการจ้างงานที่สำคัญ และมีสัดส่วนการจ้างงานมากกว่า 2 ล้านคน

แต่ปัจจุบันปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มศักยภาพ และหลายส่วนยังต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การอ้างอิงราคาในอดีตไม่สะท้อนต้นทุนจริง เน้นราคาต่ำ กระบวนการการจัดชั้นและการคัดเลือกยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้า ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดจ้างงานก่อสร้างภาครัฐ ดังนี้

1.ปรับแนวคิดในกฎหมาย จากการเน้นประโยชน์หน่วยงานของรัฐ ไปสู่ประโยชน์สาธารณะ 2.ปรับการคำนวณราคาให้สะท้อนต้นทุนจริง 3.ปรับแบบสัญญาจัดจ้าง โดยการขอแก้ไขกฎหมาย และแก้แบบสัญญา 4.กำหนดเงื่อนไขการคัดเลือกผู้รับเหมา โดยเสนอแก้ไขกฎหมาย ที่กำหนดเงื่อนไขในการคัดเลือกผู้รับเหมาอย่างโปร่งใส 5.สร้างกลไกปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ กกร.ได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมเพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ อาทิ เช่น การใช้ Local Content ภายในประเทศ หรือวัสดุที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Made in Thailand และเครื่องหมายรับรอง Green Product โดยจะมีการรวบรวมรายละเอียดและนำเสนอรัฐบาลให้พิจารณาต่อไป