“สมชาย” เตรียมหารือ “บีโอไอ-พาณิชย์” เอื้อเอสเอ็มอีลงทุนเวียดนาม

นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวขณะเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ระหว่างวันที่ 8 – 10 มิถุนายน เพื่อมาศึกษาดูงานความก้าวหน้าและแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรม การลงทุนของนักธุรกิจไทยในเวียดนาม ว่าจากการหารือกับนักลงทุนไทยในเวียดนาม พบว่า ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ลงทุน ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ยังเข้ามาลงทุนน้อยมาก ประเด็นนี้กระทรวงอุตสาหกรรมจะนำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิจารณามาตรการส่งเสริมเพิ่มเติมที่อำนวยความสะดวกต่อการลงทุนมากขึ้น

เพราะปัจจุบันธุรกิจที่เอสเอ็มอีไทย ควรเข้ามาลงทุนมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการเกษตร อาหารทะเลแปรรูป เพราะมีจุดเด่นด้านต้นทุนการผลิต ค่าแรงที่ยังถูก ผลิตผลทางการเกษตรจำนวนมาก และเวียดนามยังเปิดประเทศด้านการค้า มีการลงนามเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับหลายประเทศ ทั้งยุโรป และล่าสุดมีการลงนามกับประเทศในอเมริกาใต้ อาทิ ชิลี ทำให้ภาษีเป็นศูนย์เป็นประโยชน์กับนักลงทุน ซึ่งไทยยังไม่มีความร่วมมือส่วนนี้

”ปัจจุบันไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ แต่ปัจจุบันการส่งเสริมแผ่วลง อาจเพราะมีข้อจำกัดเรื่องระเบียบต่างๆ ดังนั้นกระทรวงอุตฯจะเร่งหารือเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนต่อไป” นายสมชายกล่าว

นายสมชายกล่าวว่า ปีที่ผ่านมาเวียดนามเป็นผู้ผลิตอาหารทะเลอันดับสามของโลก รองจากประเทศจีนและอินเดีย มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 240,000 ล้านบาท ซึ่ง ซี.พี.เวียดนาม ถือเป็นหนึ่งในบริษัทสัญชาติไทยที่มีโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำในเวียดนาม 2 โรงงาน ใช้เทคโนโลยีการผลิตอาหารที่ทันสมัยและปลอดภัย ในแต่ละปีบริษัท ซี.พี. เวียดนาม ได้แปรรูปอาหารทะเลและส่งออก ปริมาณ 20,000 ตัน ไปยังประเทศต่างๆ ได้แก่ ญี่ปุ่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ฮ่องกง จีน และยุโรป

ทั้งนี้ รัฐบาลเวียดนาม ยังมีการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบให้ได้ถึง 25-30 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2563 ตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาพลังงานชาติ ล่าสุดบริษัท เอสซีจี ได้เข้าไปถือหุ้นในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรกในเวียดนาม มูลค่าการลงทุน 173,000 ล้านบาท โดยโครงการตั้งอยู่เมืองบาเหรี่ยะ-หวงเต่า อยู่ห่างจากเมืองโฮจิมินห์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 100 กิโลเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ทำให้เอสซีจี เป็นผู้ลงทุนไทยอันดับหนึ่งในเวียดนาม

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยหลายรายที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม อาทิ เอสซีจี เครือเจริญโภคภัณฑ์ กระทิงแดง เครือเบทาโกร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ นอกจากนี้กลุ่มอมตะของไทย ลงทุนตั้งนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งในเวียดนาม

นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ประเทศไทยมีแนวทางพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งการมาศึกษาดูงานในครั้งนี้ จะนำข้อมูลที่ได้ไปบูรณาการในการพัฒนา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ที่ไทยมีเป้าหมายจะเป็นผู้ส่งออกอาหารทะเลแปรรูปอันดับต้นของโลกเหมือนอย่างเช่นเวียดนาม และอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ซึ่งเวียดนามได้สนับสนุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลาย ที่เป็นส่วนที่เหลือจากการผลิตเชื้อเพลิง นับว่าสามารถนำแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม มาใช้กับพัฒนาเคมีชีวภาพของไทยได้

นายมนตรี สุวรรณโพธิ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.เวียดนาม คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า จุดแข็งของประเทศเวียดนามที่น่าจับตามองและไทยควรปรับตัวรับการแข่งขัน คือ 1.เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเมืองที่เข้มแข็ง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง แต่รัฐบาลยังดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลดีต่อนักลงทุนที่เข้าไปทำธุรกิจในประเทศ 2.เวียดนามมีการเปิดกว้างด้านการค้ากับต่างประเทศ โดยอยู่ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน มีการเจรจาเอฟทีเอกับยุโรป มีข้อตกลงทางการค้ากับรัสเซียและเกาหลีใต้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยสนับสนุนธุรกิจในประเทศที่ต้องพึ่งพาการส่งออก และ 3.มีประชากรวัยทำงานสูงถึง 60%

“ในปีนี้ ซี.พี.เวียดนาม จะมีการลงทุนขยายสายการผลิตหลายรายการ อาทิ โรงชำแหละไก่และโรงชำแหละหมู เป็นต้น และจะเริ่มผลิตในปีหน้า ซึ่งบริษัทยังคงยึดมั่นนโยบายผลักดันไทยสู่การเป็นครัวโลก” นายมนตรี กล่าว

 

ที่มา : มติชนออนไลน์