รัฐเร่งสำรวจขุดเจาะน้ำบาดาล รับมือขาดน้ำอุปโภคบริโภค

สทนช.หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดการณ์สถานการณ์น้ำภาคใต้ พร้อมจับมือทุกหน่วยทำแผนรับมือพื้นที่เสี่ยงขาดน้ำอุปโภค-บริโภคและภาคเกษตร เร่งหาน้ำต้นทุนสำรอง เตรียมตั้งคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการในเขื่อนและแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กล่าวว่าวันนี้ (12 พ.ย.2561) สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น จัดประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ 2 ประเด็นหลัก คือ 1.ติดตามสภาพอากาศภาคใต้ที่อยู่ในช่วงฤดูฝน สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน การให้ความช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการคาดการณ์ปริมาณฝนล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือ และ 2. การติดตามความก้าวหน้าแผนการรับมือสถานการณ์ภัยแล้งในปี 2561/62 โดยเฉพาะการวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงให้ชัดเจน เพื่อเตรียมแผนรับมือการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนสำรอง และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

เบื้องต้น สทนช. ได้มีหนังสือแจ้งไป 3 กระทรวง ได้แก่ 1.กระทรวงมหาดไทย เพื่อทำการสำรวจประปาหมู่บ้าน และประปาเทศบาลที่เสี่ยงต่อการขาดแคลนแหล่งน้ำต้นทุน พร้อมจัดทำแผนสำรองและแนวทางแก้ไขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำรวจข้อมูลอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทาน และจัดทำแผนรองรับและสนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร และ 3.กระทรวงเกษตรฯ เพื่อตรวจสอบและยืนยันพื้นที่เพาะปลูกทั้งในเขตและนอกเขตชลประทาน และจัดทำมาตรการรองรับ เพราะเดือน มี.ค.-เม.ย.ของทุกปีมีความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำมากจึงต้องเร่งสำรวจเพื่อขุดเจาะน้ำบาดาลรับมือ

จากการรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สทนช. วิเคราะห์แล้ว พบว่า พื้นที่เสี่ยงที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งปี 2561/62 แบ่งเป็น 1. พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ปี 2561/62 เป็นพื้นที่นอกเขตชลประทาน มี 11 จังหวัด 27 อำเภอ 71 ตำบล ประกอบด้วย จ.อุทัยธานี นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย อุตรดิตถ์ สุพรรณบุรี หนองบัวลำภู ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม และศรีสะเกษ 2. พื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค โดยพิจารณาจากพื้นที่ที่มีปริมาณฝนสะสมในช่วง 1 ม.ค.-31 ต.ค.2561 น้อยกว่า 20 % ของค่าเฉลี่ย รายภาค ยกเว้นพื้นที่ในเขตชลประทาน พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 11 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แพร่ ชัยภูมิ นครราชสีมา นครสวรรค์ บุรีรัมย์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ลำปาง สุราษฎร์ธานี และหนองบัวลำภู

ขณะที่แผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2561/62 ตามที่กระทรวงเกษตรฯ เสนอ แบ่งเป็น ในเขตชลประทาน ข้าวนาปรังปี 2561/62 ประมาณ 8.3 ล้านไร่ ซึ่งได้มีการปรับลดพื้นที่ลงจากปี 2560/61 จำนวน 4.5 แสนไร่ พืชไร่พืชผักอื่นๆ 6 แสนไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1.7 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่นอกเขตชลประทาน 5.6 ล้านไร่ ประกอบด้วย ข้าวนาปรังปี 61/62 จำนวน 3.3 ล้านไร่ พืชไร่พืชผักอื่นๆ 1.4 ล้านไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 8 แสนไร่ ซึ่งที่ประชุมรวมถึงได้หารือแผนมาตรการเตรียมการรับสถานการณ์ภัยแล้ง และแนวทางแก้ไขปัญหา และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบแหล่งน้ำ เร่งสำรวจและจัดทำบัญชีแหล่งน้ำ พร้อมติดตามแผนการจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้ง ผลการเพาะปลูกพืชจริงตามแผนการจัดสรรน้ำ โดยแยกเป็นรายลุ่มน้ำประกอบด้วย ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำชี-มูล ลุ่มน้ำแม่กลอง และลุ่มน้ำภาคตะวันออก

“จะนำข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ติดตามสถานการณ์และบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในวันที่ 19 พ.ย.นี้ และที่ประชุมได้ตั้งคณะทำงานกำหนดหลักเกณฑ์การจัดทำเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำสำหรับอ่างเก็บน้ำ และแหล่งน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ ใน 2 กรณี ได้แก่ 1.น้ำมาก น้ำปานกลาง และน้ำน้อย และ 2.น้ำวิกฤติ โดยให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการน้ำที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปและวัตถุประสงค์ของการจัดสรรน้ำ ในรูปแบบเกณฑ์การควบคุมที่เหมาะสมตามสถานการณ์ และเกณฑ์การควบคุมตามสภาวะปกติ”

นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ ล่าสุด ขณะนี้ ยังคงมีฝนตกหนักได้ในบางพื้นที่ ปริมาณฝน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ (102.0 มิลลิเมตร) อ.บางสะพานน้อย 58.5 มิลลิเมตร อ.กงหรา จ.พัทลุง (99.0 มิลลิเมตร) อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช (84.0 มิลลิเมตร) และ อ.หลังสวน จ.ชุมพร (58.0 มิลลิเมตร)

ช่วงวันที่ 12-14 พฤศจิกายน 2561 ปริมาณฝนตกในพื้นที่ภาคใต้จะลดลง พื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร ยังคงมีฝน แต่ปริมาณไม่มากนัก ส่วนทางภาคเหนือจะมีฝนตกเพิ่มมากขึ้น สำหรับวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2561 ภาคใต้ จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ตั้งแต่ จ.ชุมพร ลงไปถึงบริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช แต่ปริมาณฝนไม่มากเหมือนช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

ส่วนวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2561 อาจมีหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้เกิดฝนและลมแรง ในพื้นที่ จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.ชุมพร ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทย คลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก ไม่มีระดับน้ำสูงกว่าระดับตลิ่ง ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ อ่างฯ แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ปริมาณน้ำประมาณ 91% น้ำไหลเข้าวันละ 4.11 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลออก 2.59 ล้านลูกบาศก์เมตร และอ่างฯ ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีปริมาณน้ำประมาณ 85% น้ำไหลเข้าวันละ 11.64 ล้านลูกบาศก์เมตร ไหลออก 2.41 ล้านลูกบาศก์เมตร ช่วงนี้จึงฝากให้ทุภาคส่วนติดตามสถานการณ์น้ำและการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ สทนช. และกรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือ เพื่อป้องกันอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ไว้แล้ว โดยติดตั้งบริเวณพื้นที่เสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมเป็นประจำ ให้สามารถนำไปช่วยเหลือได้ทันที ได้แก่ เครื่องสูบน้ำ 453 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 300 เครื่อง รถแทรกเตอร์, รถขุด 108 คัน เครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าดำเนินการได้ทันทีเมื่อเกิดปัญหาน้ำท่วม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว นายสมเกียรติกล่าว