ความเชื่อมั่นเอกชนดีขึ้นครั้งแรกรอบ 14 เดือน เร่งรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ

หอการค้า เผยดัชนีความเชื่อมั่นเอกชนเริ่มฟื้นแต่ยังคงระดับต่ำ รับจำต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในไตรมาส 3 หวั่นจะกระทบการปลดคนงานได้

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือน มิถุนายน 2563 ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 31.5 ขยับขึ้จากเดือนพฤษภาคมที่อยู่ที่ระดับ 31.3 แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 33.3 ซึ่งเป็นระดับที่น่าเป็นแต่ทั้งนี้ก็เป็นการขยับตัวครั้งแรกในรอบ 14 เดือนจากพฤษภาคม 2562 อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงต่ำกว่า 50 ทุกรายการ ยกเว้นดัชนีในภาคการค้าชายแดน ที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเอกชนยังให้ความกังวลเศรษฐกิจจากปัญหาการระบาดไวรัสโควิด-19 ดังนั้น ปัจจัยที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้รัฐบาลเร่งออกมาตรการ เร่งนำงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจลงสู่ระบบให้เร็วที่สุดภายในไตรมาสที่ 3 และมาตรการสร้างความเขื่อมั่นในการใช้จ่ายของประชาชน

โดยผู้ประกอบการเห็นว่ารัฐบาลต้องเร่งมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเม็ดเงิน 100,000 ล้านบาทที่ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหากสามารถเร่งโครงการต่างๆของภาครัฐไปในพื้นที่ให้มากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่อยุ่ในกลุ่มภาคเกษตรจะเกิดการสร้างงานในระบบในพื้นที่ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้เพิ่มอีก 0.3-0.5% อย่างไรก็ตาม หากมีมาตรการล๊อต 2 วงเงินเพิ่มอีก 100,000 ล้านบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่มีงบประมาณ 20,000 ล้านบาท และเอกชนออกมาตรการเพิ่ม ทั้งโครงการปันสุข โครงการแทรลเวล บับเบิล รวมวงเงินทั้งหมดที่ลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 250,000-350,000 ล้านบาท เชื่ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 0.6 – 1 %

นอกจากนี้ หากไตรมาสที่ 4 จะมีเรื่องของงบประมาณปี 2564 ที่เร่งจัดสรรได้ตามกรอบวงเงินงบประมาณ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณ ปี 2563 ในไตรมาสที่ 3 คาดว่าเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ในไตรมาสที่ 4 และพยุงเศรษฐกิจไทยไม่ให้ทรุดลงไปได้ แต่หากไม่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 หรือดำเนินการล่าช้า ไม่มีมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินของเอสเอ็ม ก็จะเห็นภาพของการปลดแรงงานเป็นล้านคน เกิดภาวะเกิดหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลในผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หนี้ครัวเรือนที่มีมากขึ้น คาดว่าเศรษฐกิจจะติดลบ 8-10 % แต่หากรัฐบาลอัดเงินได้ตามที่คาดไว้เศรษฐกิจก็จะขยายตัวติดลบ 5-6 % และความเชื่อมั่นผู้ประกอบการก็จะกลับมา

ในส่วนของการท่องเที่ยวนั้นผู้ประกอบการมองว่าเริ่มดีขึ้น โดยเฉพาะภาคกลาง เห็นได้จากเมื่อช่วงวันหยุดต่อเนื่องประชาชนเดินทางไปท่องเที่ยวมากขึ้นทั้งในแบบไป กลับและค้างคืน โดยการเดินทางไปแบบการขับรถและโดยสารเครื่องบินที่มากขึ้น แต่ยอมรับว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวไทยมากนัก ซึ่งผู้ประกอบการเห็นพ้องกันว่า หากจะฟื้นการท่องเที่ยวต้องนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ จากโครงการแทรลเวล บับเบิล ภายใต้ที่ไม่มีความเสี่ยงจากโควิด-19 ก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้เป็นระดับ

สำหรับข้อเสนอของผู้ประกอบการใน5 ภูมิภาค คือ เร่งกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเน้นการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีรายได้สูง, เร่งช่วยเหลือผู้ว่างงาน, เร่งมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินการได้, มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินในภาวะตึงตัวจากการหยุดกิจการชั่วคราวในช่วงที่ผ่านมาและเร่งพิจารณาการเปิดด่านสำหรับสินค้าตามแนวชายแดนอย่างเต็มรูปแบบเพื่อให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว