เปิดผลประชุมศบศ.(7ต.ค) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-ช้อปดีมีคืน ครบที่นี่ !!

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 เวลา 13.30 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ : ศบศ.) ครั้งที่ 4/2563 ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาเห็นชอบวาระกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนี้

1. ที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญ ดังต่อไปนี้

1.1 รับทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และภาพรวมเศรษฐกิจ เสนอโดยสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ล่าสุด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563 มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก 36,038,360 คน เป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ 311,613 คน และมีผู้เสียชีวิต 1,054,543 คน โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดในหลาย ประเทศทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นสะท้อนจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันที่ยังเพิ่มขึ้นใน ระดับสูงในหลายประเทศ ขณะที่หลายประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดระลอกที่สอง

อย่างไรก็ดี ภายใต้การแพร่ ระบาดที่เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้ในหลายประเทศ ส่งผลให้เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการการปิดสถานที่และ ควบคุมการเดินทาง ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ โลก (Global PMI) ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือนนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2562

ในส่วนของ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม 2563 มีสัญญาณของการฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากการปรับตัวดีขึ้นของเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจทั้งด้านการใช้จ่ายและด้านการผลิต โดยเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ มีแนวโน้มหดตัว น้อยลง อาทิ มูลค่าการส่งออกสินค้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและดัชนีการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งจำนวนบริษัท ปิดกิจการ

นอกจากนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐโดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุนยังขยายตัวสูง สำหรับสถานการณ์การท่องเที่ยวภายในประเทศพบว่า อัตราการเข้าพักของโรงแรมเฉลี่ยทั่วประเทศในเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังไม่ครอบคลุมในพื้นที่จังหวัดที่ห่างไกลกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ในส่วนของข้อมูลด้านแรงงานพบว่าเริ่มปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ เห็นได้จากจำนวนผู้ใช้สิทธิตามมาตรา 75 (กรณีหยุดงานชั่วคราวเหตุไม่สุดวิสัย) ที่ลดลงต่อเนื่อง

1.2 รับทราบข้อเสนอมาตรการเศรษฐกิจรายสาขาจากภาคเอกชน เสนอโดยคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ และสนับสนุนเศรษฐกิจรายสาขา ภายใต้คณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ประกอบด้วยข้อเสนอมาตรการเศรษฐกิจในภาพรวมจำนวน 6 ด้าน ซึ่งหลายมาตรการรัฐบาลได้ดำเนินการไปบางส่วนแล้ว ประกอบด้วย

(1) เพิ่มสภาพคล่องธุรกิจ อาทิ การสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Softloan) และจัดตั้งกองทุนพิเศษ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อ การขยายเวลาชำระหนี้สำหรับธุรกิจ การขยายการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และการปรับโครงสร้างหนี้

(2) ลดต้นทุนและภาระค่าใช้จ่าย อาทิ การลดภาษี/ยกเว้นการจัดเก็บ ภาษี การให้นำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษี การลด/ยกเว้นค่าปรับและค่าธรรมเนียมของภาครัฐ การเร่งรัดการ จ่ายเงินภาครัฐ การขยายสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคม และการสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อาทิ ค่าใช้จ่ายใน การขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การพัฒนาแรงงาน

(3) กระตุ้นตลาดและการใช้จ่ายของผู้บริโภค อาทิ การสนับสนุน สินค้าที่ผลิตในประเทศ (Made in Thailand) ให้เป็นวาระแห่งชาติ และการส่งเสริมด้านการตลาดและการใช้จ่าย

(4) รักษาการจ้างงานและยกระดับฝีมือแรงงาน อาทิ การรักษาการจ้างงาน และการพัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน

(5) กระตุ้นการลงทุนของนักลงทุนไทยและต่างชาติ อาทิ การขยายสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุน การจูงใจ ให้เกิดการลงทุนภายในประเทศ การอำนวยความสะดวกให้ผู้เชี่ยวชาญ/นักลงทุนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ

และ (6) ลดอุปสรรคจากการดำเนินงานภาครัฐ อาทิ การปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และการสร้างระบบนิเวศให้เอื้ออำนวย นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ยังได้เสนอมาตรการเศรษฐกิจเฉพาะสาขา ธุรกิจ ซึ่งครอบคลุมภาคการผลิตที่สำคัญ อาทิ ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยว ภาคการค้า และ ภาคบริการ

1.3 รับทราบความคืบหน้ามาตรการเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนี้

1.3.1 มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 3 ระยะที่สำคัญ ดังนี้

(1) การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย SMEs Corporate ได้แก่ ลูกหนี้ รายย่อย รวมมูลค่า 3.84 ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ corporates รวมมูลค่า 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี

(2) สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ติดต่อลูกหนี้ ไปเยี่ยมกิจการ เพื่อประเมินผลกระทบ รวมทั้งจัดทำช่องทางให้ลูกหนี้แจ้งสถานะและความประสงค์ในการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุง โครงสร้างหนี้ เป็นต้น

และ (3) การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มี เจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ ซึ่งเป็นระบบ one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้ เพื่อแก้ไขหนี้เดิม และมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่

1.3.2 มาตรการด้านแรงงาน เสนอโดยกระทรวงแรงงาน ผลการดำเนินงานมาตรการด้านแรงงาน ล้านงานเพื่อล้านคนประกอบด้วย (1) งาน Job Expo Thailand 2020 ล้านงานเพื่อล้านคน ระหว่างวันที่ 26 ถึง 28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค มีตำแหน่งงานที่รองรับรวมทั้งสิ้น 1,495,225 อัตรา และมีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศจำนวน 125,383 คน มีผู้ที่สนใจติดตามงานตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งสิ้น 2,254,712 คน/ครั้ง

โดยมีสถานประกอบการที่มาออกบูธ 501 แห่ง มีตำแหน่งงาน 100,012 งาน ผู้สมัครงาน 143,066 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงาน 57,226 อัตรา

และ (2) เว็บไซต์ไทยมีงาน ข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 มีตำแหน่งงาน 733,633 อัตรา ผู้สมัครงาน 112,806 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่าง ตำแหน่งงานและผู้สมัครงานทั้งสิ้น 45,112 อัตรา

และสำหรับมาตรการอุดหนุนการจ้างงานเด็กจบใหม่ มีตำแหน่ง งานทั้งสิ้น 74,351 อัตรา มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 39,033 คนและมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครได้ทั้งสิ้น 31,876 อัตรา

ทั้งนี้ รวมทุกมาตรการสามารถจับคู่ตำแหน่งงานได้ทั้งสิ้น 134,214 อัตรา

สำหรับกิจกรรมรวมใจ สร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่สำคัญ อาทิ การแนะแนวอาชีพและทดสอบความถนัดทางอาชีพ การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพและเตรียมความพร้อม และการฝึกอาชีพอิสระ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้น ทั้งสิ้น 3,391 คน

1.3.3 มาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart visa) เสนอโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีความคืบหน้าการปรับปรุงมาตรการ Smart Visa ที่สำคัญ ดังนี้

(1) ปรับปรุงขอบเขตอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กว้างขึ้น ไม่จำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการพัฒนาและบริหารกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Startup Ecosystem และนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขาอื่นนอกเหนือจากด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(2) เพิ่มเติมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ อิสระที่ไม่มีสัญญาจ้างงานในประเทศ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง

(3) ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงบางกลุ่มในธุรกิจวิสาหกิจและขนาดย่อม (SMEs) และผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงาน และวุฒิการศึกษาของผู้บริหารระดับสูง

และ (4) การอนุญาตให้ผู้ถือ Smart Visa ทำงานนอกเหนือจากที่ได้รับการรับรองได้ในบางกรณี โดยให้สามารถ ทำงานในกิจการอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการหรือความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองได้ อาทิ กิจการในเครือ กิจการที่มีความเชื่อมโยงหรือสนับสนุน เป็นต้น

1.3.4 โครงการคนละครึ่ง เสนอโดยกระทรวงการคลัง ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563 ของการลงทะเบียนร้านค้าโครงการคนละครึ่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 มีรายละเอียดดังนี้

(1) กิจการ ลงทะเบียนรวมทั้งหมด 210,010 ร้าน แบ่งเป็น กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ จำนวน 152,795 ร้าน กิจการที่รอ ดำเนินการตรวจสอบ จำนวน 56,465 ร้าน และกิจการไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของโครงการ จำนวน 750 ร้าน

(2) กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็นกิจการที่มีหน้าร้าน จำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่และแผงลอย จำนวน 24,943 ร้าน

(3) ประเภทของกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 90,052 ร้าน ส่วนร้านธงฟ้า มีจำนวน 41,331 ร้าน ร้าน OTOP จำนวน 4,991 ร้าน และร้านค้าทั่วไป จำนวน 16,421 ร้าน

และ (4) กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 34.8 รองลงมาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 25.0 และภาคใต้ จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 17.7

โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 12.2 รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.4 และ สงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.1

 

1.3.5 มาตรการด้านการท่องเที่ยว เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกอบด้วย

(1) โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5.27 ล้านคน และมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 1,406,808 คืน และมีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 1,537.2 ล้านบาท สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่าย E-Voucher รวมทั้งหมด 916.4 ล้านบาท มีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 345.7 ล้านบาท ขณะที่ตั๋วเครื่องบินมีผู้ใช้สิทธิ แล้ว 51,753 สิทธิ ซึ่งมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 43.9 ล้านบาท

สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่ายภายใต้โครงการนี้รวมจำนวน ทั้งหมด 5,096.5 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ยอดมูลค่าโรงแรมที่พักจำนวน 4,049.7 ล้านบาท E-Voucher 916.4 ล้านบาท และสายการบิน 130 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยว 3,169.7 ล้านบาท และจากรัฐบาล 1,926.8 ล้านบาท

(2) โครงการกำลังใจ มีบริษัทนำเที่ยวเข้าร่วม จำนวน 3,959 บริษัท นักท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวน 379,771 คน และมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 759,542,000 บาท

(3) แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยว ประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์เดิน ทางเข้าประเทศไทยภายใต้ STV จากภูมิภาคต่าง ๆ รวม คน แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก จำนวน 924 คน ภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ จำนวน 229 คน ภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออก กลาง จำนวน 462 คน

ขณะที่มีนักท่องเที่ยวซึ่งสอบถามจำนวนเบื้องต้นจากภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออก กลาง จำนวน 500 คน และจากภูมิภาคอเมริกา จำนวน 69 คน โดยในปัจจุบันมี 5 จังหวัดที่สามารถรองรับการกัก ตัวได้ ซึ่งแบ่งเป็นโรงแรมในกรุงเทพมหานครที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative State Quarantine (ASQ) จำนวน 84 แห่ง และโรงแรมในชลบุรี บุรีรัมย์ ภูเก็ต และปราจีนบุรีที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative Local Quarantine (ALQ) จำนวน 11 แห่ง

(4) โครงการ Thailand Elite Member Quarantine (TEMQ) ซึ่งมีจำนวนสมาชิกที่อยู่นอกประเทศไทยประมาณ 7,000 คน นั้น พบว่ามีสมาชิกที่ตอบรับโครงการ TEMQ และนำส่งกระทรวงต่างประเทศผ่าน ททท. แล้ว จำนวน 448 คน สมาชิกที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวง ต่างประเทศแล้วจำนวน 304 คน สมาชิกที่ได้รับ COE และเที่ยวบินจำนวน 49 คน สมาชิกที่เดินทางถึงประเทศ ไทยแล้วและอยู่ในระหว่างการกักตัว จำนวน 35 คน และสมาชิกที่เสร็จสิ้นการกักตัวในเดือนกันยายนทั้งสิ้น 14 คน

(5) โครงการกระตุ้นการเดินทาง Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติ โดยเชิญชวนบริษัทที่ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ องค์กร และหน่วยงาน ร่วมซื้อแพคเกจในโครงการพร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ มากมาย ทั้งนี้ หน่วยงานเข้าร่วมโครงการจะได้รับของรางวัล Certificate และโล่ประกาศเกียรติคุณจากฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

2. ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องสำคัญ ดังต่อไปนี้

2.1 เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการช้อปดีมีคืน เสนอโดยกระทรวงการคลัง ภายใต้ มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุน ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมการอ่าน โดยเป็นการลดหย่อนภาษี เงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่ จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท

ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มผู้ประกอบการประเภทผู้ประกอบการค้าสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการขาย หนังสือและสินค้า OTOP โดยไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน

มาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ณ มีนาคม 2564 โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเนื่องจากการดำเนินมาตรการทั้งหมด 55,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้

2.2 เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) ดังนี้

(1) อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอ กระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน ให้สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้

(2) อนุมัติให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พัก และใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่ง ท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้

(3) อนุมัติขยาย ระยะเวลาดำเนินโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564

และ (4) อนุมัติการ เบิกจ่ายงบประมาณดำเนินโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564