สยามไบโอไซฯรอบีโอไอพลัส หวัง 5 ปีไทยเป็นฮับการแพทย์

นายทรงพล ดีจงกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผู้ผลิตยาในกลุ่มไบโอฟาร์มา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มั่นใจว่าภายใน 5 ปีประเทศไทยสามารถพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (medical hub) ได้ แต่ไทยจะต้องเกิดอุตสาหกรรมยาครบวงจรตั้งแต่การมีวัตถุดิบ วิจัย ผลิตยาใช้เองได้ โดยมีศูนย์วิจัย ศูนย์ทดสอบ แต่รัฐบาลต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพราะหากประเมินในขั้นเลวร้าย ไทยสามารถเป็น hub ได้ แต่ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี

ปัจจุบันบริษัทผลิตยาประเภทโมโนโคลนอลแอนติบอดี ขึ้นมา 2 ชนิดเป็นรายแรก ใช้รักษาโรคมะเร็งและโรคภูมิต้านตนเอง มีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท และได้ร่วมลงทุนตั้งบริษัท เอบินิส จำกัดขึ้น โดยบริษัทสยามไบโอฯ ลงทุนในสัดส่วน 70% และบริษัท CIMAB, S.A. ประเทศคิวบา สัดส่วน 30% เพื่อตั้งโรงงานผลิตยาอีก 6 ชนิดในกลุ่มเดียวกัน มูลค่าลงทุน 3,000 ล้านบาท ตามแผนจะผลิตยาขายได้ภายในปี 2563 กำลังการผลิต 100 กก./ปี จากนั้นจะใช้เวลาวิจัยอีกประมาณ 5 ปี เพื่อผลิตยาใหม่เพิ่มอีก เช่น ลดคอเลสเตอรอลยา และยาด้านกระดูก เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทเอบินิสได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก พ.ร.บ.เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ให้สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีรายได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แต่ด้วยเงื่อนไขที่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังนั้นบริษัทจึงได้สิทธิประโยชน์ในช่วงแรกเพียง 10 ปีเท่านั้น จากนั้นเมื่อรับรู้รายได้หรืออีกประมาณ 1-2 ปี จะยื่นขอสิทธิประโยชน์เพิ่มอีกให้เต็มจำนวน 15 ปี รวมถึงส่วนที่เป็นเงินสนับสนุนด้านวิจัยพัฒนาจากกองทุน 10,000 ล้านบาท ที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.เพิ่มขีดฯจะอยู่ในสิทธิประโยชน์ที่เรียกว่า บีโอไอพลัสพลัส (BOI++) พร้อมกัน

“ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดในกองทุนจะต้องเป็นโครงการลงทุนที่มีผลกระทบมากต่อประเทศ หรือมีอิมแพ็กต์ต่อการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมไทย แต่ตอนนี้คำนิยามว่า อุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบให้กับประเทศมากนั้นคืออะไร ยังต้องหาคำนิยามให้ตรงกันก่อน ถือว่าหลักเกณฑ์เงื่อนไขยังต้องศึกษาให้ละเอียดกว่านี้”