STGT เดินเครื่องโรงงานพีเอส อ.สะเดา จ.สงขลา ตอบสนองดีมานด์ทั่วโลก

ศรีตรัง โกลฟส์-ถุงมือยาง

ศรีตรังโกลฟส์ ลงทุนขยายกำลังการผลิตในครึ่งปีหลังต่อเนื่อง เดินเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา รองรับการผลิตถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ ตอบสนองดีมานด์ที่ยังแข็งแกร่ง ไตรมาสสุดท้ายเตรียมเปิดโรงงานอีกแห่งในจังหวัดตรังตามแผน ดันปริมาณการผลิตทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 36,000 ล้านชิ้น

วันที่ 6 กันยายน 2564 นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า จากภาพรวม ความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยเพื่อป้องกันโรค COVID-19 ตลอดจนการใช้ถุงมือยางเพื่อฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในประเทศต่างๆ

 

ดังนั้นแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจึงเดินหน้าขยายการลงทุนโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าตามแผนงานที่วางไว้ รองรับดีมานด์ถุงมือยางทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง

ล่าสุด ในเดือนกันยายนนี้ บริษัทได้เดินเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นที่เรียบร้อย โดยโรงงานดังกล่าวติดตั้งเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ด้วยความเร็วสูง สามารถผลิตสินค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ และนับเป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของบริษัท ในขณะนี้ โดยโรงงานดังกล่าวนับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของ STGT ที่เริ่มเดินเครื่องจักรในปีนี้ ต่อจากโรงงาน

สุราษฎร์ธานี 2 และโรงงานสุราษฎร์ธานี 3 ที่เปิดดำเนินการไปแล้ว ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโรงงานใหม่ในจังหวัดตรัง ซึ่งจะเป็นโรงงานแห่งที่ 4 ที่เริ่มเดินเครื่องจักรในปีนี้ เพื่อผลิตถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์

“ปัจจุบันถือว่าบริษัทสามารถขยายกำลังการผลิตได้ตามแผน โดยโรงงานใหม่ในจังหวัดตรัง มีการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรคืบหน้าตามเป้าหมาย จะพร้อมเดินเครื่องจักรได้ในไตรมาสสุดท้ายตามแผน ซึ่งบริษัท ได้เตรียมความพร้อมด้านแรงงานและมาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดภายในโรงงาน เพื่อให้ความมั่นใจแก่คู่ค้าและผู้บริโภค” นางสาวจริญญา กล่าว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวต่อว่า จากแผนงานขยายโรงงานดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2564 บริษัทฯ จะสามารถผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 ล้านชิ้น จากปีที่ผ่านมาที่สามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 33,000 ล้านชิ้น 

ซึ่งกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามบริษัทได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการขนส่ง เพื่อแก้ปัญญาตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้ปริมาณการขายเติบโตได้ตามเป้าหมาย 

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 28,401.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 17,331.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 

โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท ในวันที่ 7 กันยายน 2564 และคาดว่าในเดือนธันวาคม 2564 จะจ่ายในอัตราอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ภายหลังคณะกรรมการบริษัทอนุมัติงบไตรมาส 3/2564 เป็นที่เรียบร้อย