จุรินทร์ เคลียร์ปมร้อน ทูตจีน ปลดล็อกดันส่งออก 4 สินค้า

“จุรินทร์” หารือเอกอัครราชทูตจีน ขอจีนเปิดด่านเพิ่มอีก 2 ด่าน และอนุญาตให้นำเข้าผลไม้ไทยผ่านด่านได้ด้วย พร้อมขอให้เร่งตรวจโรงงานไก่ ตรวจโรงงานรังนก และนำเข้าข้าวตาม MOU เล็งนัดประชุม JC โดยเร็ว

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังที่นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ขอเข้าเยี่ยมคารวะเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งว่า ได้หารือขอให้จีนเปิดด่าน 2 ด่าน ที่ปิดไปในช่วงโควิด-19 คือ 1.ด่านโมฮาน ที่เป็นด่านทางบก เริ่มต้นจากเชียงของ ทางเหนือของไทย ผ่านบ่อเต็นไปเข้าจีนทางยูนนาน ตอนใต้ 2.เส้นทางผ่านแม่น้ำโขง จากท่าเรือเชียงแสนของไทยไปเข้ายูนนาน ตอนใต้ของจีน ที่ด่านกวนเหล่ย หรือท่าเรือกวนเหล่ย โดยอยากให้เร่งกลับมาเปิดโดยเร็ว

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ทั้งนี้ ยังได้ขอเพิ่มเงื่อนไข คือ 1.สำหรับด่านกวนเหล่ย ขอให้จีนอนุญาตนำเข้าผลไม้จากไทยผ่านด่านได้ด้วย 2.การนำเข้าไก่จากไทย โดยไทยมีโรงงานส่งออกไก่ไปจีน 22 โรง แต่ปิดไป 9 โรง ช่วงโควิด-19 ขณะนี้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายแล้ว ขอให้ท่านทูตช่วยแจ้งให้ GACC หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร ที่มีหน้าที่มาตรวจโรงงานผลิตไก่ในไทย เพื่ออนุญาตให้นำเข้าจีนได้ต่อไป โดยขอเร่งตรวจโรงงานส่งออกไก่ 9 โรงงาน ผ่านระบบออนไลน์ รวมทั้งขอให้จีนเพิ่มรายการนำเข้าไก่ในส่วนที่ยังไม่อนุญาต เช่น ไก่ทั้งตัวรวมหัว สะบักไก่ ข้อไก่ รวมทั้งเป็ด เป็นต้น

ขณะเดียวกัน เรื่องการนำเข้ารังนกจากไทย ปัจจุบันจีนนำเข้าจากไทยแค่ 2 บริษัท ยังมีอีก 9 ราย ที่ขออนุญาตจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ ขอให้จีนเร่งมาตรวจโรงงานเพิ่ม เพื่อจะได้ส่งออกรังนกไปจีนได้เพิ่มขึ้น และเรื่องข้าว ซึ่งจีนกับไทยมี MOU อยู่ 1 ล้านตัน ซึ่งจีนได้นำเข้าแล้ว 7.2 แสนตัน ค้างอยู่อีก 2.8 แสนตัน จึงขอรบกวนท่านทูตช่วยแจ้งคอฟโก้ ซึ่งเป็นองค์กรนำเข้าข้าวของจีนให้เร่งดำเนินการให้ครบถ้วนตาม MOU ต่อไป

นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับประเด็นอื่น ๆ ที่ได้มีการหารือ และเห็นตรงกัน คือ ไทยและจีน ต้องการจัดการประชุม JC หรือคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกัน โดยจะเร่งจัดขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ทางการค้าการลงทุนและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน,

ไทยและจีนต้องการเร่งให้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) มีผลบังคับใช้ ซึ่งต้องมีสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศเป็นอย่างน้อยให้สัตยาบัน และสมาชิกนอกอาเซียนอย่างน้อย 3 ประเทศให้สัตยาบัน ซึ่งไทยได้ยื่นให้สัตยาบันไปแล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 ที่ผ่านมา และจะร่วมมือกันเร่งรัดให้ข้อตกลง RCEP มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อประโยชน์ของประเทศสมาชิกทั้ง 15 ประเทศ

นอกจากนี้ ไทยและจีนจะร่วมมือกันในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระหว่างกัน รวมทั้งเรื่องของรถไฟความเร็วสูง ซึ่งท่านทูตจีนได้แจ้งว่ารถไฟจากจีนไปลาวเปิดให้บริการแล้ว และจะร่วมมือกับไทยในการเร่งสร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางที่จะเชื่อมลาวเพื่อให้ระบบการขนส่งสินค้าเข้าออกระหว่างกัน มีความคล่องตัวและเพิ่มมูลค่าได้มากขึ้นโดยเร็ว และไทยกับจีนจะร่วมมือกันในการนำเข้าส่งออกสินค้าระหว่างกัน โดยท่านทูตแจ้งว่ายินดีให้ความร่วมมือในการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทย พร้อมอำนวยความสะดวกสินค้าอื่น ๆ ด้วย

สำหรับความสัมพันธ์ไทย-จีน มีมาต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างกัน มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ ตัวเลขล่าสุด ปี 2563 ไทยกับจีนมีมูลค่าการค้าระหว่างกัน 2.49 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับช่วง 9 เดือนปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.) มูลค่าการค้าสูงกว่าปี 2563 เยอะมาก ทำไปแล้ว 2.41 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เฉพาะตัวเลขการส่งออกของไทยไปจีน 878,280 ล้านบาท เพิ่ม 27%