บางจากตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ “Net Zero” ในปี 2593 จ่อเริ่มซื้อขายคาร์บอนเครดิตกับ 19 องค์กรพันธมิตร 6 หมื่นตัน ด้าน “สรรพสามิต” เร่งคลอดโครงสร้างภาษีคาร์บอน-ภาษีภาคขนส่ง EV คลอด ธ.ค.นี้
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนาประจำปี “Exponential Path to Net Zero” Bangchak 100x – 100 ไอเดียเพื่อโลกที่ยั่งยืน ว่า ทิศทางพลังงานไทยและทั่วโลกจะเริ่มเข้าสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดมากขึ้น ลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล
- Apple เปิดตัว iPad Air-Pro รุ่นใหม่ 7 พฤษภาคมนี้
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
โดยมีเป้าหมายในปี 2065 (2608) การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะต้องเป็นศูนย์ ในส่วนของไทยจะเร่งศึกษาเรื่องภาษีคาร์บอน เพื่อดำเนินการตามที่ประกาศไว้ในการประชุม COP 26
โดยแนวทางเริ่มต้น ภาคเอกชนจะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี สร้างนวัตกรรม มุ่งพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รถพลังงานไฮโดรเจน นวัตกรรมดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างภูมิคุ้มกันต่อภาษีคาร์บอน มาตรการทางการค้า สร้างเครือข่ายตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เป็นต้น
“ส่วนของบางจากตั้งเป้าเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2030 (2573) โดยจะลดสัดส่วนรายได้จากพลังงานฟอสซิลที่มี 60% และพลังงานทดแทนจาก 40% เป็น 50 : 50 ด้วยการปรับปรุงโรงกลั่น ปลูกป่า การตั้งสถานีชาร์จ EV คาร์บอนเครดิต”
“ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งศึกษาว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net Zero เร็วที่สุดในปี 2593 ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้ที่เป็นพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นจาก 50% ไปเป็น 70% ซึ่งจะเริ่มจากการลดในกระบวนการผลิต ล่าสุดบริษัทมีแผนจะซื้อคาร์บอนเครดิตมาทดแทนประมาณ 60,000 ตัน กับ 19 องค์กรพันธมิตรที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กันไปก่อนหน้านี้เป็นอันดับแรก”
นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า มาตรการสำคัญที่ทางภาครัฐจะใช้เป็นเครื่องมือ และเร่งให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 (2593) รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เท่ากับศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 (2608) โดยการเตรียมจัดทำโครงสร้างภาษีคาร์บอน ซึ่งจะกำหนดให้มีการปล่อยคาร์บอนได้ในระดับหนึ่ง หากเกินอัตรากำหนดจะต้องเสียภาษีเช่นเดียวกับรัฐบาลสิงคโปร์และญี่ปุ่น
ขณะเดียวกันจะใช้รูปแบบของการค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก (Cap and Trade) โดยกลุ่มผู้ที่ปล่อยคาร์บอนโดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ถือว่าเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนมากที่สุด สามารถซื้อจากกลุ่มที่สามารถลดคาร์บอนลงมาได้เช่นเดียวกับจีนและเยอรมนี ซึ่งการใช้รูปแบบดังกล่าวจะส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าของพลังงานทดแทนเติบโตเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ยังมีโครงสร้างภาษีภาคการขนส่งซึ่งครอบคลุมถึงยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งปัจจุบันรถที่ใช้น้ำมันและรถประเภทไฮบริด ได้กำหนดอัตราภาษีอิงกับการปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 g/km มีแนวโน้มที่จะปรับให้ต่ำกว่า 100 g/km หรือ 120 g/km โครงสร้างภาษีดังกล่าวคาดว่าจะประกาศได้ในเดือน ธ.ค. 2564 นี้หรือต้นปี 2565