IRPC ลั่น 5 ปี ทรานส์ฟอร์มธุรกิจมากกว่าปิโตรเคมี สู่องค์กรแห่งนวัตกรรม

IRPC ประกาศพร้อมทรานส์ฟอร์มธุรกิจที่เป็นมากกว่าปิโตรเคมี กางแผน 5 ปี ปรับธุรกิจสู่องค์กรแห่งนวัตกรรม “Beyond Petrochemical & Refinery” สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมรุกธุรกิจใหม่สู่ New S-Curve ตั้งเป้า EBITDA มากกว่า 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 มุ่งขับเคลื่อนองค์กรด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรม

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ในปีหน้า 2021 บริษัทได้ปรับวิสัยทัศน์สู่การเป็นองค์กร “สร้างสรรค์นวัตกรรมการใช้วัสดุและพลังงาน เพื่อชีวิต ที่ลงตัว (To Shape Material and Energy Solutions in Harmony with Life) ที่มากกว่าการเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมี และการกลั่นน้ำมัน สอดรับกับทิศทางของโลกในอนาคต

เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทุกรูปแบบ สร้างความยั่งยืน และเกิดประโยชน์กับประเทศ โดยตั้งเป้าหมาย EBITDA มากกว่า 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 ด้วยการต่อยอดความแข็งแกร่งในธุรกิจปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas : GHG) ลง 20% ในปี 2030

สำหรับแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) IRPC ได้กำหนดกลยุทธ์และทิศทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ด้วยการพัฒนาและขยายธุรกิจที่มีความชำนาญไปยังห่วงโซ่คุณค่าใกล้เคียงของธุรกิจ และการแสวงหาธุรกิจใหม่ ๆ  ได้แก่ การต่อยอดการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน (Core Uplift), การลงทุนในกลุ่มธุรกิจข้างเคียง (Adjacent Business) และการสร้างธุรกิจใหม่ (Step Out Business) ดังนี้

Advertisment

การต่อยอดการเติบโตจากกลุ่มธุรกิจในปัจจุบัน (Core Uplift) ได้แก่ โครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลตามมาตรฐานยูโร 5  (Ultra Clean Fuel Project : UCF) มูลค่า 1.33 หมื่นล้านบาท ตามนโยบายของภาครัฐ และจากแนวโน้มความต้องการที่สูงขึ้นของน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ ทั้งภายในประเทศและภูมิภาคอาเซียน เพื่อลดปัญหามลภาวะฝุ่นละออง PM 2.5  โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2024 ตลอดจนการพัฒนาและการเพิ่มสัดส่วนการขายเม็ดพลาสติก ชนิดพิเศษ (Specialty) จาก 20% ในปี 2021 เป็น 52% ในปี 2025 โดยบูรณาการกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มความเร็วในการเข้าตลาดและการตอบสนองต่อลูกค้า

การลงทุนในกลุ่มธุรกิจข้างเคียง (Adjacent Business) ได้แก่ โครงการผลิตเม็ดพลาสติก พีพี เกรด เมลต์โบลน (PP Melt blown) และการร่วมทุนจัดตั้งบริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด เพื่อผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำคัญสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายจะเป็นผู้ผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอครบวงจรรายแรกของประเทศไทย ที่พร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนธันวาคม 2021 และ IRPC ยังได้ร่วมมือกับ ปตท. ในการศึกษาการผลิตถุงมือทางการแพทย์

โดยใช้ Nitrile Butadiene Latex (NBL) เป็นวัตถุดิบ ช่วยลดการนำเข้าจากต่างประเทศ และยกระดับด้านสาธารณสุข วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและอุปกรณ์ทางการแพทย์ของประเทศไทย สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาธุรกิจ New S-Curve กลุ่ม Life Science ของกลุ่ม ปตท. รวมถึงการจัดตั้ง “วชิรแล็บ”  ห้องปฏิบัติการกลาง เพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนธันวาคม 2021 ซึ่งจะช่วยส่งเสริมยุทธศาสตร์ การพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Medical Hub ของอาเซียน

นอกจากนี้ยังมีการสร้างธุรกิจใหม่ (Step Out Business) ได้แก่ (1) การบ่มเพาะนวัตกรรมจากภายใน (Inside-out Innovation) หรือการทำ Corporate Startup เช่น การสร้างนวัตกรรมทางการเกษตร ซิงก์ออกไซด์นาโน (ZnO NANO) ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก ซิงก์ออกไซด์ (ZnO) ที่ทำให้มีขนาดเล็กระดับอนุภาคนาโน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารเข้าสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืชได้ดียิ่งขึ้น ช่วยเพิ่มผลิตผลทางการเกษตรและปลอดภัยต่อทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม (2) การแสวงหานวัตกรรม จากภายนอก (Outside-in Innovation) ผ่านการลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) และการลงทุนในธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อแสวงหา Start up หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่โดยการ M&A ที่นอกจากจะได้รับผลตอบแทนทางการเงินแล้ว บริษัท ยังได้องค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ การดำเนินธุรกิจ New S-Curve อีกด้วย

Advertisment

อย่างไรก็ดี IRPC มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมสู่องค์กร Net Zero Emission โดยวางเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ลง 20% ในปี 2030 โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพจากการใช้พลังงานแห่งอนาคต รวมทั้งพลังงานทางเลือก และพลังงานหมุนเวียน เช่น การขยายโครงการ Floating Solar และโครงการ Solar Farm ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมไออาร์พีซี จังหวัดระยอง การพัฒนาวัสดุเคลือบแผง Solar Cell ลดความร้อน

และส่วนประกอบอุปกรณ์เก็บพลังงานสำรองให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุค New Normal ที่ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อม จะเป็นการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ IRPC สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน “IRPC สร้างสิ่งที่ดีเพื่ออนาคต”

“สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันผันผวนเกิดจากหลายปัจจัยทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ และกลไกตลาด โดยประเมินว่าปีนี้น่าจะผ่านไปด้วยดี ราคาไม่น่าจะเกิน 80 เหรียญต่อบาร์เรล ปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 65-68 เหรียญต่อบาร์เรล และค่าการกลั่น (GIM) จะอยู่ที่ระดับ 13-14 เหรียญต่อบาร์เรล ทั้งนี้ภาพรวมของปีนี้ถือว่าดี แม้ว่ายังเผชิญปัจจัยด้านโลจิสติกส์สถานการณ์โควิด ส่งผลต่อการขนถ่ายเรือสินค้าล่าช้าในบางช่วง แต่ภาพรวมรายได้ถือว่าดี”

ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้สำหรับในการขยายการลงทุนต่อยอดธุรกิจเดิม และการแสวงหาธุรกิจใหม่ ๆ ภายใต้การร่วมมือลงทุนกับพันธมิตร (JV) และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) รวมถึงการสร้างธุรกิจใหม่ที่บริษัทยังไม่เคยดำเนินการ โดยคาดว่างบฯลงทุนดังกล่าวจะแบ่งออกเป็นการใช้สำหรับธุรกิจใหม่สัดส่วนกว่า 35-40% นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมงบสำรองอีกกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับใช้ในโครงการขนาดใหญ่ๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ส่วนงบฯลงทุนปีหน้า 2565 บริษัทเตรียมไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ราว 8,000 ล้านบาท และใช้ลงทุนโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงกลั่นและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ได้ตามมาตรฐานยูโร 5 (UCF) ประมาณ 6,000 ล้านบาท และที่เหลือใช้ในการซ่อมบำรุงและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่าง ๆ

อีกทั้งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาการซื้อกิจการ (M&A) อยู่จำนวน 2 ราย ซึ่งในส่วนของดีลแรกอยู่ระหว่างการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางธุรกิจ (ดิวดิลิเจนซ์) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในช่วงไตรมาส 1/65 และอีก 1 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพอสมควร โดยในส่วนของงบฯลงทุน M&A บริษัทวางไว้ประมาณ 8,000 ล้านบาท