EY เปิดข้อมูลมาตรฐานความซื่อสัตย์องค์กรตลาดเกิดใหม่รวมไทยอยู่ในจุดเสี่ยง

องค์กรธุรกิจ ทำงาน

อีวาย บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก เปิดผลสำรวจ EY Global Integrity Report ตลาดเกิดใหม่ พบปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจากโควิด-19 เป็นภัยคุกคามต่อ “จริยธรรมทางธุรกิจ” ชี้มาตรฐานความซื่อสัตย์ขององค์กรในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย อยู่ในจุดเสี่ยง

วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท อีวาย ประเทศไทย ที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก เปิดข้อมูลรายงาน 2022 EY Global Integrity Report – Emerging Markets Perspective : Is your organization upholding its integrity standards ?

เป็นการสำรวจความคิดเห็นของพนักงาน ผู้จัดการ และคณะกรรมการบริษัทกว่า 2,750 คน จาก 33 ประเทศในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย

พบว่าสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภัยคุกคามต่อจริยธรรมทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ และชี้ให้เห็นว่ามาตรฐานความซื่อสัตย์ขององค์กรในกลุ่มประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มของตลาดเกิดใหม่ รวมถึงประเทศไทย อยู่ในจุดเสี่ยง อันเป็นผลมาจากปัจจัยกดดันใหม่ ๆ ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

จากรายงานดังกล่าวพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 62% ระบุว่า การจะรักษามาตรฐานความซื่อสัตย์ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือในช่วงที่ตลาดเผชิญกับสภาวะยากลำบากเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับองค์กร และเกือบครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (46%) ให้ความเห็นว่าผลกระทบจากการแพร่ของโรคระบาดทำให้การดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาเป็นไปได้ยาก

โดยปัจจัยความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมของบุคลากรในองค์กรมากที่สุด ได้แก่ สภาวะตลาดถดถอย (36%) ผลการดำเนินงานทางการเงินที่ลดลง (31%) และการลดลงของค่าตอบแทนพนักงาน (29%)

องค์กรเผชิญความเสี่ยง “ประพฤติผิดจรรยาบรรณ”

นางสาววิไลพร อิทธิวิรุฬห์ หุ้นส่วนสายงานบริการตรวจสอบและให้คำปรึกษาด้านการต่อต้านทุจริตในองค์กร อีวาย ประเทศไทย เปิดเผยว่า องค์กรต่าง ๆ กำลังเผชิญกับความท้าทายมากมายที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการประพฤติผิดจรรยาบรรณ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งต่างอยู่ระหว่างการหาทางฟื้นตัวจากผลกระทบจากการแพร่ของโรคระบาดทั่วโลกเช่นกัน

ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นของพนักงานที่เต็มใจจะประนีประนอมในเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน โดย 52% ของคณะกรรมการบริษัท และ 47% ของผู้จัดการอาวุโส ยอมรับว่าในองค์กรของตนมีพนักงานในระดับผู้บริหาร ที่ยอมสละความซื่อสัตย์เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางการเงินเพียงระยะสั้น ๆ

“สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือพนักงานเป็นผู้กระทำการทุจริต ไม่ใช่ระบบหรือกระบวนการต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม พนักงานมีแนวโน้มที่จะประพฤติตนด้วยความซื่อสัตย์มากขึ้นหากเข้าใจเหตุผลและวิถีในการดำเนินธุรกิจ แทนที่จะให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบเพียงอย่างเดียว

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ผู้นำองค์กรจำเป็นต้องกำหนดจุดยืนที่ชัดเจนในการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมและเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงาน มิเช่นนั้นแล้ว เราอาจเห็นจำนวนของรายงานการทุจริตและการแทรกแซงจากหน่วยงานกำกับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” วิไลพรกล่าว

97% รับความซื่อสัตย์ขององค์กร สำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ

ท่ามกลางปัจจัยกดดันต่อการปฏิบัติตามหลักจริยธรรมในปัจจุบัน ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นถึงการพัฒนาในทางบวก โดย 97% ของผู้ตอบแบบสอบถาม (ประเทศไทย 99%) ยอมรับว่า ความซื่อสัตย์ขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญต่อความยั่งยืนของธุรกิจ และ 47% (ประเทศไทย 66%) เชื่อว่า องค์กรของตนมีการปรับปรุงมาตรฐานความซื่อสัตย์ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ผลสำรวจในประเทศไทยยังแสดงให้เห็นว่า 87% ของผู้ตอบแบบสอบถามสามารถรายงานการกระทำผิดในองค์กรโดยปราศจากความกังวลหรือผลกระทบด้านลบที่อาจจะเกิดขึ้น และ 61% ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการไม่รายงานการกระทำผิด

“ธุรกิจจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญและสร้างรากฐานความซื่อสัตย์ในองค์กรผ่านการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับ และสื่อสารกับพนักงานให้เห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ การสร้างวัฒนธรรมที่สนับสนุนการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรมและให้รางวัลแก่ผู้ที่ปฏิบัติตามนโยบายสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการทุจริตที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจของพนักงาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียต่อความสามารถขององค์กรในการสร้างมูลค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” วิไลพรกล่าว