Private Assets ตอบโจทย์หรือไม่ ในสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน ?

Private Assets
คอลัมน์ : ลงทุนทั่วโลก
ผู้เขียน : เหมือนมาส บุญงอก, บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด

ในปัจจุบัน สินทรัพย์พวก private assets (การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) เช่น private real estate หรือ private equity นำมาให้คนไทยได้ลงทุนมากขึ้น

โดยมีจุดขายคือการสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางความผันผวนจากตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย การลงทุนในสินทรัพย์พวกนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้หรือไม่ ? private real estate

ราคาบ้านในสหรัฐและทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างมากหลังช่วงโควิด แต่เมื่อดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้น ดันดอกเบี้ยบ้านสูงขึ้น ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านจริง ๆ ไม่สามารถทำได้ เราจึงเริ่มเห็นว่าตลาดบ้านในสหรัฐเริ่มลดความร้อนแรงลง ทั้งปริมาณการขายบ้าน (คนซื้อรอราคาบ้านลง) และมูลค่าบ้าน (ตาม demand/supply)

อย่างไรก็ตาม ราคาบ้านที่ลดความร้อนแรงลงในรอบนี้ต่างจากปี 2007 เนื่องจากปัจจุบันธนาคารในสหรัฐมีการรักษาเงินกองทุนที่สูงกว่ามาก

และการปล่อยสินเชื่อมีคุณภาพมากขึ้นมาก ดังนั้น ราคาบ้านจะลดความร้อนแรงลง และปรับตัวลงอย่างช้า ๆ ถึงขั้นหดตัวในบางรัฐ แต่จะไม่รวดเร็วและรุนแรงเหมือนกับช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จนกว่าดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐจะทำจุดสูงสุด

private equity หรือการลงทุนนอกตลาดในหุ้นที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่สิ่งที่เราไม่อาจมองข้ามได้เลยคือ หากตลาดหุ้นผันผวนและปรับตัวลง private equity จะโดนบันทึกมูลค่าลงไปด้วย แต่จะช้ากว่าตลาดหุ้น เนื่องจากมีการประเมินมูลค่ารายไตรมาสหรือรายเดือน ทำให้นักลงทุนคิดว่าจะสามารถมีผลตอบแทนที่ราบรื่นกว่า

โดยจากสถิติในอดีตที่ผ่านมา ผลตอบแทนของ private equity มักจะสะท้อนช้ากว่าตลาดหุ้นขั้นต่ำ 2-3 ไตรมาส และหากเราเปรียบเทียบผลตอบแทน private equity และตลาดหุ้นสหรัฐ (แบบที่สะท้อนช้ากว่าตลาด 2 ไตรมาส) จะพบว่ามีทิศทางความสัมพันธ์ที่เหมือนกัน

ด้านผลตอบแทนจริง ๆ ส่วนใหญ่จะมาจาก 1) การขายบริษัทในพอร์ตให้กับผู้ลงทุนอื่น หรือ 2) การนำบริษัทเข้าตลาด (initial public offering หรือ IPO)

แต่ด้วยสภาพตลาดปัจจุบัน การขายบริษัทให้กับกองทุนอื่นทำได้ยากขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน เพราะการระดมทุนที่ลดน้อยลง และมูลค่าที่แพง นักลงทุนมีความจำเป็นต้องเลือกบริษัทที่โดดเด่นจริง ๆ ในการลงทุนและใส่เงินเข้าไป ไม่สามารถหว่านการลงทุนได้

ส่งผลให้ราคาประเมินตามโมเดลสามารถโดนปรับลงได้ สะท้อนจากเงินลงทุนไหลออกสุทธิใน private equity กว่า 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

แม้แต่นักลงทุนระดับโลกอย่าง Bill Ackman ที่ก่อนหน้านี้สามารถระดมทุนกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในตลาดหุ้นผ่าน SPAC ได้ประกาศคืนเงินแก่นักลงทุนทั้งหมด เพราะไม่สามารถหาบริษัทที่ต้องการจะไปลงทุนได้

ด้านมูลค่าที่พุ่งสูง ทำให้ล่าสุด Stripe บริษัทที่ทำธุรกิจด้าน payment และเป็น top unicorn ของโลก เคยมีมูลค่าประเมินกว่า 9.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ได้มีการบันทึกมูลค่าภายในบริษัทเองลงกว่า 28% จากจุดสูงสุดปีที่แล้ว ขณะที่ Fidelity Investment

ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ของโลก ได้บันทึกมูลค่า Stripe ลดลงไป 13% รวมทั้ง ByteDance (เจ้าของแอป TikTok) ที่โดนบันทึกมูลค่าลงกว่า 13% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 บริษัทนี้ถือว่าเป็นแนวหน้าในกลุ่ม startup ทั่วโลกแล้ว ดังนั้นหากบริษัทชั้นนำโดนบันทึกมูลค่าลงระดับนี้ บริษัทที่มีพื้นฐานการเงินที่แย่กว่ามาก มีแนวโน้มสูงที่จะโดนปรับมูลค่าลงมากกว่านี้

นอกจากนี้ การนำหุ้นในพอร์ตเข้าตลาดสำหรับกองทุน private equity เป็นช่วงเวลาที่ไม่สดใสนักในปีนี้ ตามตลาดหุ้นที่ผันผวน เห็นได้ชัดจากยอดมูลค่าการทำดีล IPO ของธนาคารสหรัฐลดต่ำลงอย่างมาก สะท้อนว่าบริษัทในกองทุน private equity หาทางสร้างผลตอบแทนการลงทุนให้ผู้ลงทุนผ่าน IPO ได้ยากขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน

คำถามคือ ผลกระทบจากการลงทุนในสินทรัพย์พวก private real estate และ private equity คืออะไร ?

การที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐและรอบโลกลดความร้อนแรงลง และตลาดหุ้นที่ยังไม่กลับมาเป็นขาขึ้นเร็ว ๆ นี้ ทำให้ private assets หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนบันทึกมูลค่าลง คล้ายกับสิ่งที่สะท้อนในตลาดการเงิน ถึงแม้จะเป็นการบันทึกมูลค่าที่สะท้อนช้ากว่าตลาดปกติขั้นต่ำประมาณ 2 ไตรมาสก็ตาม โดยล่าสุดทาง Citi ได้คาดว่า private equity อาจจะโดนบันทึกมูลค่าลงได้มากกว่า -10% ตามตลาดหุ้น

สิ่งที่จะเกิดต่อมาคือ เมื่อนักลงทุนเริ่มเห็นว่า private assets ได้ผลตอบแทนที่น้อยลงหรือติดลบจากการบันทึกมูลค่าอย่างช้า ๆ จึงสามารถเป็นดาบสองคมได้เช่นกัน เนื่องจากจะเร่งให้มีแรงเทขายหรือถอนการลงทุนมากขึ้น (แล้วแต่นโยบายการลงทุน)

เพราะในเมื่อลงทุนต่อจะต้องรับรู้มูลค่าที่ลงต่อ ส่งผลให้ผู้จัดการกองทุนต้องหาเงินมาคืนนักลงทุนเร็วกว่าที่คาด ผ่านการเร่งขายสินทรัพย์ที่มีในพอร์ตในตลาดรองในมูลค่าที่ถูกกว่าราคาประเมินอย่างเป็นทางการ ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนควรจะได้รับ

ดังนั้น บริษัทหลักทรัพย์ Pine Wealth Solution ได้แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนใน private real estate และ private equity ในปีนี้