PPS เตรียมขาย ProfinCoin อีกราย ตั้งเป้าระดมเงิน 500 ลบ. หวังนำปล่อยกู้โครงการก่อสร้าง

ดร.พงษศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) เปิดเผยว่าปัจจุบันบริษัทกำลังศึกษาการระดมทุนด้วยเหรียญโทเคน (Initial coin offering หรือ ICO) ผ่านการเสนอขาย ProfinCoin จำนวน 500 โทเคน หรือคิดเป็นราคาโทเคนละ 1 บาท ซึ่งถือเป็น ICO ประเภทที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง (Asset backed) รายแรกของไทย โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้จองซื้อได้ระหว่างวันที่ 15-31 มี.ค.นี้ และมั่นใจว่าจะมีนักลงทุนให้ความสนใจจำนวนมาก เพราะเป็นไอซีโอที่มีผลตอบแทนรองรับแน่นอน

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับบริษัท ฟินเทค (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เวโลพาร์ค จำกัด เพื่อเตรียมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ โปรฟิน กรุ๊ป จำกัด ซึ่งถือหุ้นสัดส่วนเท่ากันประมาณ 33.33% โดยมีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนดังกล่าวไปใช้สำหรับให้บริการปล่อยกู้สินเชื่อให้กับโครงการก่อสร้างที่มีลูกหนี้เป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน

ขณะที่มองว่าผู้ลงทุนใน ProfinCoin จะเปรียบเสมือนได้รับสิทธิในการปล่อยกู้โครงการก่อสร้างต่างๆที่คณะกรรมการเลือกสรรมา ซึ่งผู้ถือคอยน์ก็เปรียบเสมือนธนาคาร ขณะที่วัตถุประสงค์คือการเชื่อมโยงสินเชื่อระหว่างนักลงทุนที่ถือคอยน์กับผู้รับเหมา โดยคิดดอกเบี้ยต่ำกว่าตลาด และมีการแบ่งผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ลงทุน

“เราสนใจธุรกิจแฟคทอริ่งมานานแล้ว และไม่ต้องการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์มาให้บริการ เพราะหนี้ระยะสั้นมีต้นทุนทางการเงินสูง โดยปัจจุบันการปล่อยกู้ระยะสั้นสำหรับผู้รับเหมา อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 9-20% แต่เมื่อออก ProfinCoin จะทำให้เราไม่มีต้นทุนทางการเงิน ทำให้สามารถคิดอัตราดอกเบี้ยได้ต่ำกว่าตลาด เช่น คิดอัตราดอกเบี้ย 8% ทางบริษัทจะคิดค่าธรรมเนียม 3% ที่เหลือจะเป็นผลตอบแทนให้ผู้ถือคอยน์ โดยบริษัทจะคัดเลือกโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำในการปล่อยสินเชื่อ เช่น โครงการที่รับจากภาครัฐ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง”ดร.พงษศ์ธร กล่าว

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ 5 ปีข้างหน้าเติบโต 25% ต่อปี ซึ่งคาดว่ารายได้จะแตะระดับ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2565 พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งจะเน้นรับงานโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะงานโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ คาดว่าจะมีการเริ่มเปิดประมูลต่อเนื่อง เช่น โครงการรถไฟฟ้าทางคู่ เฟส 2 และรถไฟใต้ดิน ประเมินว่าจะเริ่มทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2561 เป็นต้นไป เป็นโอกาสของบริษัทฯ ในการเข้าไปขยายสัดส่วนงานของภาครัฐให้มากขึ้น คาดว่าสัดส่วนงานภาครัฐในปีนี้จะเพิ่มเป็น 50% จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 30-40%

ส่วนปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ สิ้นปี 2561 ที่ 374 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2563 ขณะเดียวกันจะเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะที่ธุรกิจในส่วนอื่น ๆ อาทิ งานออกแบบ งานบริหารจัดการอาคารพลังงาน งานบริหารจัดการข้อมูลโครงการ ตลอดจนธุรกิจใหม่ด้าน Project Financing จะเข้ามามีส่วนเสริมการเติบโตของบริษัทอย่างมีศักยภาพ