หุ้นจีน vs ตราสารหนี้ กองทุนไหนฮิตในวันที่ดอกเบี้ยกลับทิศ

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ช่วงนี้ผมถูกถามเข้ามาค่อนข้างเยอะว่า อยากจะจัดพอร์ตลงทุนแต่ยังเลือกไม่ถูก เพราะเข้ากลางปีแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ตอนนี้ ยังไม่ชัดเจนว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ส่วนใหญ่รู้แค่ว่าก็เริ่มใกล้จุดเป้าหมายที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed จะหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ย แล้วในรอบการประชุมเดือนมิถุนายนนี้จะยุติการขึ้นดอกเบี้ย หรือจะขึ้นอีกเป็นครั้งสุดท้าย มีแต่คนเชียร์ให้ลงทุนตราสารหนี้ แต่ถ้าเกิดดอกเบี้ยปรับทิศเป็นขาลงขึ้นมา จะหาจังหวะเข้าลงทุนตลาดหุ้นทันไหม และตลาดไหนที่น่าสนใจลงทุนได้บ้าง

ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น แม้นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ใหม่จะเพิ่มขึ้น แต่ผลตอบแทนตราสารหนี้จะผกผันกัน เราจึงเห็นว่ากองทุนตราสารมีราคาลดลง เนื่องจากกองทุนตราสารหนี้ส่วนใหญ่จะมีตราสารหนี้เก่าอยู่ในพอร์ต แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มนิ่งและเป็นขาลงเมื่อไร  กองทุนตราสารหนี้ก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง เพราะในพอร์ตจะมีแต่ตราสารหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงกว่าปัจจุบัน  ขณะเดียวกัน เมื่อดอกเบี้ยในระบบปรับลดลงนักลงทุนก็จะเริ่มย้ายเงินไปสู่ตลาดหุ้นมากขึ้น ว่าแต่ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นเราควรมองหาหรือเล็งตลาดหุ้นไหนลงทุนดี

สำหรับผมถ้ามองตลาดหุ้นที่น่าลงทุนจริงๆ ก็หนีไม่พ้นจีนที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ ที่ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยหรือไม่ ขณะที่ฝั่งจีนกลับมาเปิดประเทศเมื่อต้นปี 2566 นี้ ไม่สร้างความผิดหวังให้แก่โลกเลยครับ เราได้เห็นพญามังกรจีนที่กลับมาผงาดยิ่งใหญ่กว่าเดิมด้วยครับ

พลังแห่งหยวน! เงินสกุลจีนทะยานสู่เงินทุนสำรองทั่วโลก

ล่าสุด กระแสใหญ่ของโลกพุ่งตรงไปที่ ‘พลังเงินหยวน’ ของจีนที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ธนาคารกลางทั่วโลก เนื่องด้วยการกระจายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นถึงอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของเงินหยวนในระบบการเงินโลก ประเทศต่างๆ ให้ความสนใจจะถือครองเงินหยวนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าและการลงทุนมากขึ้น

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ‘ส่วนแบ่งของเงินหยวนในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด และเป็นสกุลเงินสำรองที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐ และ ยูโร’แล้วครับ

การเพิ่มขึ้นของเงินหยวนในฐานะสกุลเงินสำรองเป็นพัฒนาการเชิงบวกสำหรับจีน เพราะอาจทำให้จีนลดค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมของรัฐบาลและบริษัทต่างๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับฐานะการเงินโลกของจีน ที่สำคัญเลยคือทำให้จีนมีบทบาทที่โดดเด่นขึ้นในเศรษฐกิจโลก

แนวโน้มของค่าเงินหยวนนอกจากจะส่งผลด้านที่ดีต่อจีนแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะส่งผลกระทบไปทางฝั่งคู่แข่งอย่างสหรัฐฯด้วยเช่นกัน เพราะหากเงินดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าขึ้นไม่หยุดหย่อน ต่อไปสัดส่วนการใช้เงินหยวนเป็นเงินทุนสำรองในอนาคตอาจจะเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

สัญญาณเศรษฐกิจจีนพุ่งแรงเกินต้าน หลัง Reopen ประเทศ

หันมาดูปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของจีนก็แข็งแกร่งสอดรับตามไปด้วย ไตรมาสแรกปีนี้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน (GDP) อยู่ที่ 4.5% ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ เป็นผลจากการเปิดประเทศในช่วงที่ผ่านมา ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง ด้านความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย แถมภาคครัวเรือนก็มีเงินออมเพิ่มมากขึ้นอีก ทั้งนี้ ตัวเลขยอดเงินฝากของครัวเรือนในไตรมาสแรกยังคงปรับเพิ่มขึ้นถึง 17.8% เทียบปีก่อน พร้อมที่จะควักออกมาใช้จ่ายได้เสมอ ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าโมเมนตัมดังกล่าวจะส่งต่อไปยังไตรมาส 2 ได้

สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 ของปี 2023 เติบโต 4.5% ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมาที่ 2.2% และทั้งปี 2565 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนเติบโตเพียง 3% จากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงนโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีน

โดยไตรมาสแรก ปี 2566 ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจสะท้อนถึงการฟื้นตัวที่ดี โดยเฉพาะตัวเลขค้าปลีกเติบโตมากถึง 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ตัวเลขภาคการผลิตเติบโต 3%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ในปี 2022 เติบโต 5.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ภาคการส่งออกของจีนเติบโต 8.4% (ในสกุลเงินหยวน) ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ได้ผลบวกจากข้อตกลงการค้า RCEP ที่มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2565 ทำให้ยอดส่งออกอาเซียนขยายตัวสูง ทดแทนการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่หดตัวในไตรมาสแรก

Raymond Yeung นักวิเคราะห์จาก ANZ ให้ความเห็นว่า การเปิดเมืองของจีนกำลังส่งผลต่อเศรษฐกิจจีน การเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก จะสร้างโมเมนตัมต่อไปในไตรมาส 2 นี้ ทาง ANZ คาดว่า GDP ในไตรมาส 2 จะเติบโตได้มากถึง 8%

ขณะที่รัฐบาลจีนก็ตั้งเป้าหมาย GDP ปี 2566 นี้เติบโต 5% แต่ผมมองว่า เศรษฐกิจจีนปีนี้มีโอกาสโตสูงกว่าเป้าหมาย เนื่องจากฐานที่ต่ำมากในปีที่ผ่านมา จากการปิดประเทศ ประกอบกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นทางการเงิน ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการทางการคลังผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้มีการจ้างงานและระดับรายได้ที่เพิ่มขึ้น ตามนโยบายของสองสภาจีนที่ประกาศเป้าหมายการเติบโตอย่างมีคุณภาพเมื่อเดือน มี.ค.66 ที่ผ่านมา

ถึงเวลาลงทุนหุ้นใหญ่มหาอำนาจของโลกฝั่งเอเซีย

นอกจากนี้ คงจำกันได้ว่า รัฐบาลจีนยังกำหนดนโยบายแผนพัฒนาประเทศในระยะยาว มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ด้วย พร้อมเน้นการเติบโตภายในประเทศเป็นหลัก ท่ามกลางการบริโภคในประเทศที่กำลังกลับมาเติบโตอีกครั้ง มีแนวโน้มที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจีนจะเติบโตอย่างโดดเด่นในระยะยาว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งในอนาคต

สำหรับตลาดหุ้นจีน Shanghai stock market ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ( ณ วันที่ 17/05/23) เปลี่ยนแปลง 5.83% โดยมี P/E อยู่ที่ 13.11 เท่า Valution ตลาดหุ้นจีนก็ยังอยู่ระดับต่ำ และคงจำกันได้ดี เมื่อ 2-3 ปีก่อน ตลาดหุ้นจีนร่วงแรงหลังรัฐบาลเข้ามาควบคุมและจัดระเบียบธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี เกิดการเทขายของนักลงทุนสถาบันจนมีสัดส่วนลดต่ำลง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันจะกลับเข้ามาลงทุนหุ้นจีนอีกครั้ง และหากดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยหลักการลงทุนจะเป็นบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น ผมแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นจีน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เติบโตไปกับเศรษฐกิจจีนในระยะยาว

แต่ขณะเดียวกัน คุณก็ต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงการลงทุนหุ้นจีนด้วยนะครับ เนื่องจากระหว่างเส้นทางการเติบโตของจีนในระยะข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงทั้งจากในและต่างประเทศเกิดขึ้นได้เสมอ ในฐานประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เบอร์สองและกำลังหายใจรดต้นคอเบอร์หนึ่งอย่างสหรัฐฯ

มาดูปัจจัยในประเทศ เรื่องใหญ่ๆ จะมีภาคส่งออกที่อาจชะลอตัวจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มชะลอตัวจนอาจเกิดภาวะถดถอย แต่จีนก็มีตลาดส่งออกไปอาเซียนภายใต้ข้อตกลง RCEP ที่พอจะช่วยประคองได้บ้าง และปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังแก้ไม่จบ แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ของจีนได้ผ่านจุดต่ำสุดในปีที่แล้ว แต่ก็มีหนี้ก้อนโตของบริษัทอสังหาฯ ที่พร้อมเกิดภาวะผิดนัดชำระหนี้ได้อยู่เสมอ ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัวต่อเนื่อง

ส่วนปัจจัยต่างประเทศหนักสุดหนีไม่พ้นปัญหาเชิงภูมิรัฐศาสตร์จากคู่กรณีทั้งสหรัฐฯ ไต้หวัน หรือประเทศอื่นๆ ที่พร้อมกระทบถึงจีนและประเทศต่างๆ ได้ สร้างความผันผวนในตลาดหุ้นเป็นระลอก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในขณะนี้ ผมมองว่ายังไม่กระทบไปถึงพื้นฐานเศรษฐกิจจีนครับ เพราะรัฐบาลประกาศชัดเจนเน้นการเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีคุณภาพ

แต่ถ้าคุณลงทุนระยะยาว หากความผันผวนซาลงและสถานการณ์กลับสู่ปกติ ตลาดหุ้นที่แข็งแกร่งก็จะพลิกฟื้นได้เร็วกว่าตลาดหุ้นที่อ่อนแอ นี่คือทางเลือกสำหรับผู้กล้าที่อยากลงทุนหุ้นใหญ่มหาอำนาจของโลกฝั่งเอเซีย

โอกาสดอกเบี้ยสหรัฐฯ พีกและทรงตัวสูง จังหวะลงทุนตราสารหนี้สั้น เก็บเกี่ยวผลตอบแทน

ส่วนสถานการณ์โลกฝั่งตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง และมีโอกาสลงทุนหรือไม่ หลังจาก Fed เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยไปเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อต่อสู้กับการกดเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% โดย Fed ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% สูงสุดในรอบ 16 ปี ยิ่งกดดันบรรยากาศโลกการลงทุนขึ้นไปอีก เพราะความกังวลว่า เศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งสหรัฐฯ  และยุโรปจะถดถอยหรือย่ำแย่แล้วพาเศรษฐกิจทั่วโลกดิ่งลงตามไปด้วย

จนถึงวันนี้ ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่า Fed จะยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่กันแน่และจะปรับลดลงในปีนี้เลยมั้ย ปัญหาภาคธนาคารในสหรัฐฯ จะมีใครล้มเป็นรายถัดไป ปัญหาหนี้สาธารณะเต็มเพดานของสหรัฐฯ ที่กำลังจะระเบิดในเดือนมิถุนายนนี้ และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยหรือไม่ ล้วนเป็นประเด็นที่กำลังร้อนเป็นไฟในสหรัฐฯ และลุกลามไปทั่วโลก

ขณะที่ ‘เจอโรม พาวเวล’ ประธาน Fed พยายามตอบคำถามสร้างความเชื่อมั่น ทั้งเรื่องมุ่งมั่นที่จะดึงเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% จากปัจจุบันอยู่ระดับ 5% ซึ่งก็ยังต้องใช้เวลาส่งผ่านการดึงเงินเฟ้อให้ชะลอตัว ซึ่งหมายถึงว่า ภารกิจขึ้นดอกเบี้ยยังไม่จบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อมูลตัวเลขดัชนีทางเศรษฐกิจที่ออกมาแต่ละเดือน ส่วนผลกระทบต่อภาคธนาคารก็มั่นใจว่ามีความแข็งแกร่งพร้อมยืดหยุ่นได้ แนวโน้มเศรษฐกิจก็เชื่อว่าจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย หรือหากเกิดภาวะถดถอยก็แบบ soft landing เท่านั้นเพราะตลาดแรงงานยังแข็งแกร่งอยู่ แต่ก็มีประเด็น ‘เพดานหนี้’ หากไม่บรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ ก็จะเพิ่มความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น

สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ล้วนฉุดความเชื่อมั่นในการลงทุนตลาดหุ้นที่มีความอ่อนไหวง่ายอยู่แล้ว ขณะที่พบว่า ในช่วงที่สหรัฐฯ เกิดปัญหา Bank run ขึ้นแต่ละแห่งจะมีเงินฝากไหลออกจำนวนมาก และส่วนใหญ่เงินเหล่านี้นี้ก็จะไหลเข้าไปลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ (Investment Grade) กันครับ

ถ้ามองความคลื่อนไหวของผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) ในช่วงที่ผ่านมา ก็ทยอยปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะสูงสุดแล้ว สะท้อนแรงกดดันราคาตราสารหนี้กำลังจะสิ้นสุดลงและคงดอกเบี้ยระดับสูงไว้ต่อไป เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ที่จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต

มาถึงตรงนี้แล้ว คุณน่าจะพอเห็นทิศทางการลงทุนมากขึ้นแล้ว เพราะในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางดอกเบี้ยและโอกาสลงทุน ในขณะที่ดอกเบี้ยเข้าสู่ช่วงพีค การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะช่วยสร้างโอกาสทั้งจากผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและส่วนต่างราคาหากดอกเบี้ยปรับตัวลดลงในอนาคต

แต่ถ้าใครเห็นว่าหุ้นจีนราคาถูก ธุรกิจมีอนาคตเติบโต พร้อมจะเข้าไปลงทุนแล้ว คุณก็อย่ารีรอครับ สิ่งสำคัญ คุณต้องติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนอย่างใกล้ชิด เพราะมันก็มีกลไกเหตุและผลของมันอยู่ครับ เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนคุณจำเป็นต้องทำการบ้านอย่างรอบคอบ เพราะทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงทั้งนั้น มากหรือน้อยแตกต่างกันไปตามปัจจัยที่รุมเร้าครับ หรือหากอยากได้มุมมองการลงทุนเพิ่มเติมอีกจากผมสามารถติดต่อหลังไมค์มาได้ที่เพจ Jitta Wealth ผมยินดีหาคำตอบมาให้ครับ

และอีกเครื่องมือที่สำคัญช่วยคุณได้ คือ การกระจายการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้บริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น เพราะจริงๆ แล้วการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีความเสี่ยงทั้งนั้นครับ  แต่อย่ากลัวนะครับ เพราะจะทำให้คุณพลาดโอกาสให้ ‘เงินทำงาน’ ส่วนใครที่ลงทุนแล้วหรือลงทุนอยู่ จงเรียนรู้และลงทุนต่อไปครับ ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากมายแค่ไหน หากไม่หยุดเดิน คุณก็จะไปถึงเส้นชัยแน่นอนครับ