กสิกรไทย คาดกำไรแบงก์ 9 เดือน 1.86-1.91 แสนล้าน NIM โตจำกัด

กสิกรไทย

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินกำไรสุทธิระบบแบงก์ไทย 9 เดือนแรกของปีนี้อยู่ที่ราว 1.86-1.91 แสนล้านบาท เผย NIM ขยับขึ้นในกรอบจำกัด หลังต้นทุนเงินฝากเร่งขึ้น ระบุยังเห็นสัญญาณธนาคารเร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้-จัดการหนี้ด้อยคุณภาพในเชิงรุก ดูแลหนี้เอ็นพีแอล มองช่วงที่เหลือของปีทิศทางเศรษฐกิจยังเป็นโจทย์หลักในการประคองรายได้

วันที่ 18 ตุลาคม 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่ปรับสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จะช่วยหนุนส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Net Interest Margin : NIM) ของระบบแบงก์ไทยให้ขยับขึ้นมาอยู่ในกรอบ 3.14-3.18% ในไตรมาส 3/2566 แต่คงต้องยอมรับว่า ต้นทุนการระดมเงินฝากก็อาจขยับสูงขึ้นในไตรมาส 3/2566 ด้วยเช่นกัน

สำหรับในด้านสินเชื่อ คาดว่าสินเชื่อยังเติบโตในกรอบต่ำที่ 0.1-0.3% YOY ในไตรมาส 3/2566 ขณะที่การปรับสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในระหว่างไตรมาสก็อาจมีผลกระทบต่อการบันทึกมูลค่าตามราคาตลาดของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนของธนาคารพาณิชย์ และเมื่อรวมผลของปัจจัยนี้เข้ากับภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ยังชะลอตัว ก็อาจทำให้รายได้ในส่วนที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3/2566 มีทิศทางชะลอลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมา

ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่แนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน ทำให้การดูแลคุณภาพของพอร์ตสินเชื่อยังคงเป็นโจทย์ต่อเนื่องที่สำคัญของธนาคารพาณิชย์ โดยในไตรมาส 3/2566 ยังคงเห็นธนาคารพาณิชย์ติดตามและประเมินความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ ช่วยลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ ควบคู่กับการเร่งจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) เพื่อรักษาระดับ NPLs และลดแรงกดดันต่อค่าใช้จ่ายในการกันสำรองฯ

ซึ่งจากภาพดังกล่าวทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าสัดส่วน NPLs ของระบบธนาคารพาณิชย์ อาจทรงตัวหรือมีโอกาสปรับตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบ 2.63-2.67% ต่อสินเชื่อรวมในไตรมาส 3/2566 ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองฯ ต่อสินเชื่อ (Credit Cost) อาจลดลงเล็กน้อยมาอยู่ในกรอบ 1.25-1.29% ในไตรมาส 3/2566 แต่ก็ยังนับเป็น Credit Cost ที่สูงกว่าในช่วงสถานการณ์ปกติ

โดยสรุป กำไรสุทธิของระบบแบงก์ไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 น่าจะทำได้ในกรอบประมาณ 1.86-1.91 แสนล้านบาท ขณะที่คาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยสุทธิยังน่าจะเติบโตต่อเนื่องและเป็นแรงหนุนสำคัญของผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เพราะ NIM ของระบบแบงก์ไทยยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี การประคองผลการดำเนินงานท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศยังคงเป็นโจทย์ที่กระตุ้นให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเร่งปรับตัว ดังนั้น ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 จะยังคงเห็นความพยายามของธนาคารพาณิชย์ในการจัดการปัญหา NPLs พร้อม ๆ กับการเตรียมสภาพคล่องเพื่อพร้อมรองรับความต้องการใช้สภาพคล่องในระบบที่อาจเพิ่มขึ้นตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมไปถึงการดูแลให้การเติบโตของเงินฝากสอดคล้องกับสัญญาณสินเชื่อ

โดยอาจมีการออกแคมเปญเงินฝากประจำพิเศษต่อเนื่องเพื่อระดมสภาพคล่อง และแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่น ๆ เพื่อเป็นตัวเลือกของผู้ฝากเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์คงต้องเตรียมปรับตัวเพื่อรับมือกับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (Responsible Lending) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2567 ด้วยเช่นกัน